"ภาษาศิลปะที่ปรากฎในฮูปแต้มอีสาน"
อ.อาทิจฺจพโลภิกขุ
.....ลักษณะลักษณะอันหนึ่งของความงามทางศิลปะ คือเรื่องของคุณค่าทางความงามในเชิงทฤษฎีที่เกี่ยวกับประสบการณ์ทางสุนทรียะและกฎเกณฑ์ทางศิลปะที่เกิดมาจาก ความรู้สึกทางการรับรู้ (Sense Perception) ของมนุษย์ในเรื่องความงาม การค้นหานิยามของความงามทางศิลปะ เช่น ศิลปะชิ้นใดงามหรือไม่งาม รวมถึงเกณฑ์อื่นที่จะนำมาใช้ตัดสินศิลปะว่าคืออะไรนั้นจึงมีความสำคัญ ในทางปรัชญา โดยเฉพาะปรัชญาภาษา ให้ความหมายของคำว่า ศิลปะไปไกลถึงเรื่องของการสื่อสารด้วยภาษาศิลปะ ซึ่งเป็นภาษาชนิดหนึ่งที่ไม่ได้จำกัดแต่เพียงคำพูด ตัวอักษร หรือภาษากาย โดยสมมติฐานว่าถ้าความงามเป็นคุณลักษณะจำเป็นที่ต้องมีอยู่ในศิลปะ นั่นก็หมายถึง มันสามารถสื่อสารกับผู้ชมด้วยภาษาศิลปะได้ ผลงานชิ้นใดที่ถูกสร้างขึ้นโดยปราศจากความเข้าใจด้วยภาษาศิลปะ เราก็ไม่อาจกล่าวว่ามันเป็นศิลปะได้ ดังนั้น ความหมายของความงามจึงผูกติดอยู่กับภาษาศิลปะ ผลงานศิลปะใดที่สามารถถ่ายทอดให้เห็นความงามผ่านภาษาศิลปะออกมาได้ดี ผลงานนั้นก็จะได้รับการยอมรับว่า เป็นผลงานศิลปะที่มีมีคุณค่า
นอกจากภาษาศิลปะจะสื่อให้เห็นความงามแล้ว ภาษาศิลปะยังสัมพันธ์กับสุนทรียธาตุอีกด้วย
ในงานศิลปะทุกชนิดมีจุดประสงค์เพื่อยกระดับจิตวิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้น ซึ่งจะสามารถบรรลุได้ด้วยการที่ผลงานศิลปะนั้นมีสุนทรียธาตุ
เช่น ความแปลกตา อารมณ์สะเทือนใจ ความประทับใจ เป็นต้น
สุนทรียธาตุอาจแสดงออกให้ผู้ชมผลงานศิลปะสัมผัสได้ในหลายๆ ทาง เช่น ทางตัวอักษร
เสียง ภาพ หรือ ภาพเคลื่อนไหว ต่างๆ
ซึ่งทั้งหมดนั้นคือการแสดงตัวของภาษาศิลปะที่ศิลปินต้องการสื่อสารถึงผู้ชมผ่านผลงานศิลปะนั่นเอง
ซึ่งประเด็นต่อไปจะพิจารณาว่า
ภาษาศิลปะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไรกับฮูปแต้มอีสาน
ซึ่งเป็นผลงานที่สร้างขึ้นจากความเชื่อ
ความศรัทธาที่มีต่อพระพุทธศาสนาของผู้คนชาวอีสานในอดีต
๒. ศิลปะในสิมอีสาน
มีงานศิลปะชนิดหนึ่งที่เราเรียกว่า
สิม หรือ สิมอีสาน Sim I – San (Northeast Buddhist Holy Temple) คำนี้เป็นคำพื้นถิ่นอีสานเป็นชื่อเรียกอาคารที่สำคัญภายในวัดเนื่องจากเป็นสถานที่ที่พระภิกษุสงฆ์ใช้ทำสังฆกรรม ในพระวินัยเรียกตามคำวัดว่า อุโบสถาคาร บ้าง
อุโบสภัคคะ บ้าง โดยทั่วไปเรียกเป็นภาษาปากว่า “โบสถ์” เรียกคำเต็มว่า “อุโบสถ”
หรือ “โรงอุโบสถ” ถ้าเป็นพระอารามหลวงเรียกว่า “พระอุโบสถ”
ขนาดและรูปแบบของอุโบสถไม่ได้มีกำหนดไว้ในพระวินัย
เพราะพระวินัยกำหนดสีมาให้เป็นเครื่องกำหนดขอบเขตสำหรับทำสังฆกรรม อุโบสถเป็นเพียงอาคารที่สร้างคร่อมพื้นที่ สีมาเพื่อกันแดดกันฝน มีสภาพเป็นอาคารถาวร มีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน อุโบสถที่ถูกต้องตามพระวินัยจะต้องมี
“สังฆกรรมเรียกว่า ผูกสีมา หรือผูกพัทธสีมา” ก่อน สิมหรือโบสถ์
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า
เป็นเขตแดนที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้แก่สงฆ์เป็นพิเศษ เรียกว่า “วิสุงคามสีมา”
ท่านผู้รู้อธิบายถึงคำว่า “สิม” นั้น กลายเสียงมาจากคำว่า “สีมา” นั่นเอง[1]
อู่ทอง
ประศาสน์วินิจฉัยได้กล่าวในหนังสือเรื่องสิมม่วนซื่น ถึงวิธีในการทำ
ฮูปแต้มเอาไว้ว่า กว่าจะได้ฮูปแต้มให้ดูได้ ขั้นตอนแรก
ต้องไล่ความเค็มออกจากปูนก่อน เพื่อไม่ให้สีเพี้ยน โดยการเอาใบขี้เหล็กมาต้ม
แล้วเอาน้ำที่ได้ไปฉีดที่ผนัง ทิ้งไว้ประมาณ ๗ วัน ก็เอาขมิ้นไปลองถูดู
ถ้าขมิ้นไม่เป็นสีแดง ก็แสดงว่าใช้ได้แล้ว ถ้ายังแดงอยู่ ก็ต้องทำซ้ำอีกครั้ง ถัดไปก็เอาดินสอพองมาละลายน้ำ
ล้างสิ่งสกปรกทิ้งไปแล้วแช่น้ำจนตกตะกอนนอนก้น
แล้วถึงเอามาผสมกับกาวน้ำมะขามทารองพื้นบางๆ บนผนังที่เตรียมไว้ รอจนรองพื้นแห้ง
ถึงจะเริ่มแต้มฮูปได้โดยร่างเส้นด้วยดินสอลงไปบนผนังก่อน แล้วจึงลงสีพื้นเป็นสีขาว ๆ นวล ๆ
ก่อนจะวาดภาพที่เป็นรายละเอียดอีกที และที่ทำยากมากก็คือ การหาสีมาวาด
ซึ่งช่างแต้มต้องทำขึ้นมาเองจากสีธรรมชาติ เช่น สีครามจากต้นคราม สีน้ำตาลเข้มจากยางรัก
สีม่วงจากลูกหว้า สีเหลืองจากยางต้นรง สีดำจากเขม่าก้นหม้อ
สีแดงจากหินและสีขาวจากการเผาเปลือกหอยกี้[2]
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า
“ฮูปแต้มนั้นเป็นเพียงผลงานของชาวบ้านไม่ใช่ผลงานทางศิลปะ”
ซึ่งข้อโต้แย้งนี้ก็น่ารับฟังได้เพราะเมื่อเรานำมาเปรียบเทียบกับผลงานศิลปะอันประณีตอื่นๆ
แล้ว ฮูปแต้ม
ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องของช่างพื้นบ้านที่ไม่ได้รับการถ่ายทอดจากสกุลช่างใดๆเลย
เป็นแต่เพียงชาวบ้านที่พอมีฝีมือในการวาดเขียนอยู่บ้าง
หรือเคยได้ทำงานในวัดหัดวาดเขียนกับหลวงปู่หลวงตาแล้ว
วันหนึ่งก็ได้รับเลือกให้มาช่วยวาดอะไรลงไปในสิม ที่ชาวบ้านนั้นแหละช่วยกันสร้าง
ไม่ใช่ช่างมืออาชีพในปัจจุบัน ฮูปแต้มจึงแสดงออกมาอย่างซื่อๆ ไร้มารยา
เป็นผลงานที่แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนมีความเห็นว่า
เราไม่ควรจะด่วนตัดสินคุณค่าของฮูปแต้มในขณะนี้ ก่อนที่จะพิจารณาให้ละเอียด
๓.
ความงามในฮูปแต้มสิมอีสาน
ในหัวข้อนี้จะพิจารณาเกี่ยวกับความงามในฮูปแต้มสิมอีสาน
ฮูปแต้มเป็นภาษาอีสาน เป็นคำที่ใช้เรียกงานศิลปะจิตรกรรมฝาผนัง ที่ใช้ในการตกแต่ง
สิม หรือ โบสถ์แบบอีสาน
เป็นศิลปะที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมของคนอีสานคติในการสร้างฮูปแต้มเพื่อความงามนั้นมีมานาน
ดังเนื้อความในลำพระเวส(เวสสันดรสำนวนอีสาน) กัณฑ์มัทรี
ซึ่งปริวรรตจากอักษรธรรมโดยอาจารย์เคน ลาวงศ์เนื้อความกล่าวถึง
การรำพันรักที่พระเวสสันดรมีต่อพระนางมัทรีว่า
หากนางมัทรีตายจะสร้างโลงบรรจุศพและจะตกแต่งโลงด้วยลวดลายและรูปเขียนต่างๆ[3]
เนื้อความดังกล่าวนี้มีรสทางวรรณคดีสูง แสดงให้เห็นว่าคนอีสานเป็นคนที่มีรสนิยมใช้ฮูปแต้มตกแต่งวัสดุและอาคารต่างๆ
คตินิยมนี้ยังคงตกทอดมาให้เห็นในปัจจุบัน เช่น การวาดภาพบนผืนผ้าผะเหวด และวาดฮูปแต้มบนผนังสิมนอกจากนี้
ผู้ชายอีสานในสมัยก่อนยังนิยมสักลายตามร่างกายเพื่อความงามและความเชื่อของตนอีกด้วย[5]
ฮูปแต้มบนผนังสิมมาจากภูมิปัญญาและฝีมือของช่างแต้มที่สั่งสมเรียนรู้กันมา
ทั้งในด้านการออกแบบ กลวิธี และการใช้วัสดุอุปกรณ์ ฮูปแต้มสะท้อนความคิดเห็นของช่างแต้มอย่างตรงไปตรงมา
และสิ่งสำคัญที่บรรจุอยู่ในผลงานของช่างคือ ความสามารถ ภูมิรู้
และทรรศนะเกี่ยวกับความงามของช่างและชาวบ้านและเป็นหลักฐานที่บันทึกเรื่องราวในอดีตของชุมชนไว้[6]
๔. ภาษาศิลปะคือความงามที่ปรากฎในฮูปแต้มสิมอีสาน
ประเด็นต่อไปผู้เขียนจะพิจารณาเรื่อง ภาษาศิลปะผ่านฮูปแต้มที่สำคัญได้แก่
ฮูปแต้มพระเวสสันดรชาดกที่ปรากฏในสิมอีสานวัดศรีมหาโพธิ์
เป็นตัวอย่างพอให้เห็นภาษาศิลปะที่ปรากฏอยู่ในฮูปแต้มดังกล่าว
“ที่ทำให้ฉันแปลกใจตอนตามดูฮูปแต้มในสิมต่างๆ
ก็คือ ในขณะที่จิตรกรรมฝาผนังของภาคอื่นเท่าที่เคยดูมานั้น
นิยมเขียนทศชาติชาดกครบหรือเกือบครบทั้ง ๑๐
ชาติโดยอาจจะให้เนื้อที่กับพระเวสสันดรเท่ากับหรือมากกว่าชาติอื่นๆ
แต่ฉันพบว่าฮูปแต้มในสิมอีสานแทบไม่เขียนถึงเรื่องราวของพระโพธิสัตว์องค์อื่นเลย
มีน้อยวัดมากจริงๆ ที่จะพูดถึงชาติอื่นๆ ด้วย และถ้ามี
ก็มักจะให้เนื้อที่นิดเดียวและอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่”[7]
มหาเวสสันดรชาดก
เป็นชีวประวัติเรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก
กล่าวถึงพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ในการบำเพ็ญทานบารมี
ก่อนจะทรงอุบัติเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[8] ฮูปแต้มพระเวสสันดรชาดกภายในสิมอีสานวัดศรีมหาโพธิ์ยังคงสีสันที่ยังสดใสอยู่และสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
แม้บางรูปจะลบเลือนไปแต่ก็นับว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สามารถเห็นถึงความงามและคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ได้
ยกตัวอย่างฮูปแต้มพระเวสสันดรชาดก กัณฑ์ ชูชก
วัดสนวนวารีพัฒนาราม เป็นภาพชูชกดื่มกินจนท้องแตกตาย
สื่อให้เห็นชัดด้วยการวาดภาพตัวชูชก ให้ใหญ่จนคับศาลา ฮูปแต้มกัณฑ์ชูชกนับว่าเป็นความงามที่แสดงออกซึ่งภาษาทางศิลปะอย่างชัดเจน
ตามเนื้อความที่ยกมานี้จะเห็นได้ว่า
ภาษาศิลปะที่ปรากฏในฮูปแต้มพระเวสสันดรชาดกกัณฑ์ชูชก
เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นอำนาจของความรักที่ชูชกมีต่อนางอมิตตตาปนาอย่างสุดซึ้ง ความงามนั้นได้แสดงผ่านตัวเอกในเรื่องนี้คือชูชก
ซึ่งเป็นพราหมณ์แก่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวท่าทางตลก
แสดงให้เห็นถึงการสร้างความเพลิดเพลินให้เป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
แล้วประเมินคุณค่าของมัน เช่น
เราประเมินคุณค่าของฮูปแต้มพระเวสสันดรกัณฑ์ชูชกว่างาม เพราะเราถ่ายทอดความเพลิดเพลินที่ได้รับจากลักษณะของชูชกลงไปในฮูปแต้มพระเวสสันดร
กัณฑ์ชูชกนั้นเอง หากไม่แสดงผ่านฮูปแต้มของชูชกเราก็จะไม่สามารถเข้าใจถึงลักษณะของความงามที่ปรากฏในตัวของชูชกได้เลย
๕. บทสรุป
เมื่อเราพูดถึงความงามในเชิงสุนทรียะ เราไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องของความงามที่เกิดจากวัตถุทางศิลปกรรมอันเป็นผลงานของมนุษย์เท่านั้น ยังรวมถึงสิ่งต่างๆ
ในธรรมชาติซึ่งไม่ใช่ผลงานสร้างขึ้นด้วยน้ำมือของมนุษย์ก็มีความงามได้เช่นกัน เช่น
ทิวทัศน์ชายทะเลแห่งหนึ่งเรารู้สึกว่ามีความสวยงาม
หรือท้องฟ้ายามรุ่งอรุณในที่บางแห่งและในภาวะของอากาศบางวันอาจจะงามและน่าทึ่งอย่างมากก็ได้
“คำว่า สุนทรียะนี้
ศิลปินได้กล่าวไว้ว่าทุกสิ่งในโลก
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นย่อมมีสุนทรียะในตัว ถ้าหากว่าเราผู้ดู
เป็นผู้เข้าใจมอง ไม่มีสิ่งใดที่จะไม่เป็นสุนทรียะ”[11] ที่เราเห็นอย่างนั้นก็เพราะสิ่งนั้นมีลักษณะที่สื่อออกมาผ่านทางภาษาศิลปะเป็นความงาม
ดังพุทธพจน์ความว่า “สิปฺปญฺจ วินโย จ สุสิกฺขิโต” แปลว่า “
ศิลปะเป็นมงคลอย่างหนึ่ง วินัยที่ฝึกมาดีแล้วก็เป็นมงคลอีกอย่างหนึ่ง”
เรื่องพระศรีลังกาทำสมาธิแล้วไม่ได้ผลแต่พอได้ยินเสียงเพลงขับของเด็กเลี้ยงวัว
จิตกับหลุดพ้นสว่างโพลงได้อย่างน่าประหลาด ท่านเล่าเพื่อแสดงว่า
“นี่คือตัวอย่างอานุภาพของศิลปะ” ตามตัวอย่างนี้ ท่านผู้อ่านก็คงมองเห็นว่า
อานุภาพของศิลปะคือการช่วยยกชีวิตของคนเราให้สูงขึ้นทั้งในทางความคิดและทางคุณธรรม[12]
ฮูปแต้มที่ปรากฏในสิมอีสานทั้งสองแห่งที่ยกมาเป็นตัวอย่างก็เช่นกัน
เรื่องราวทางความคิดความเชื่อ ความศรัทธา และความดีของบุคคล เรารู้สึกรับรู้มันได้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นมงคล
เป็นความงาม ก็โดยที่มันสื่อสารกับเราผ่านภาษาทางศิลปะเท่านั้น สมมติเราตั้งคำถามว่า
เมื่อขาดอายตนะใดอายตนะหนึ่งไปเราจะยังรับรู้ความงามของศิลปะบนฮูปแต้มได้หรือไม่ คำตอบก็คือ
ภาษาศิลปะไม่ถูกจำกัดด้วยอายตนะแต่เกิดร่วมกับความดีงาม
ฮูปแต้มเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ศิลปินสื่อสารผ่านภาษาศิลปะเท่านั้น ยังมีการแสดงออกทางภาษาศิลปะอีกหลายวิธีเพื่อสื่อความดีงาม
ความเชื่อความศรัทธา หรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ศิลปินสามารถสื่อเรื่องราวเดียวกันนี้ได้
ไม่ว่าจะเป็นบทกวี หรือนำไปใส่ไว้ในประติมากรรม แต่ภาษาศิลปะนั้นจะต้องไม่แยกต่างหากจากความดีงาม
ความเชื่อ ความศรัทธา
ดังที่อริสโตเติลเรียกร้องให้งานศิลปะต้องมีอิทธิพลทางศีลธรรมต่อประชาชน ความงามและความดีงามเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมกัน[13] ตัววัตถุทางศิลปะจะเป็นฮูปแต้ม หรือเป็นดนตรี
ดังตัวอย่างข้างต้นนั้นเป็นเพียงอุปกรณ์คล้ายๆ ตัวอักษร แต่ภาษาศิลปะนั้นเป็นนามธรรมมองไม่เห็นได้ด้วยตาหรือายตนะ
แต่ก็มีอยู่จริงในโลกอีกแห่งหนึ่ง คือโลกของศิลปะ ที่ใครก็สามารถหยิบฉวยเอามาใช้ได้แม้ไม่เคยทำงานศิลปะเลยก็เป็นศิลปะได้
หากเขาสามารถสื่อสารออกมาให้ผู้คนได้รับรู้ถึงอารมณ์นั้น
ผลงานทางศิลปะอันทรงคุณค่าทั้งหลายก็เช่นเดียวกันนี้ คือ
มันจะมีคุณค่าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่ามันสามารถแสดงออกให้ผู้ชมได้เข้าถึงมันแค่ไหน
ฮูปแต้มสิมอีสานที่เราได้ร่วมกันพิจารณามาตัวแสดงทุกตัวที่ปรากฏอยู่นั้น
ล้วนแต่แสดงออกให้เราได้เห็นทั้งสิ่งที่มีอยู่จริงและสิ่งที่เป็นความคิด ซึ่งมีอีกมากมายหลายตัวอย่างเกินกว่าบทความนี้เพียงบทความเดียวจะแสดงให้เห็นได้
ทั้งหมดที่ผู้เขียนได้พยายามนำมาเสนอเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นสุดท้ายก็คงต้องให้ท่านผู้อ่านพิจารณาฮูปแต้มสิมอีสานแห่งอื่นๆ
ต่อไป
บรรณานุกรม
๑.
ภาษาไทย
ก .ข้อมูลปฐมภูมิ
พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.พระไตรปิฏกภาษาไทย,
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย,๒๕๓๙.
ข.
ข้อมูลทุติยภูมิ
(๑) หนังสือ:
ชวลิต อธิปัตยกุล, สิมญวน ในอีสาน, อุดรธานี :
เต้า-โล้. ๒๕๕๖.
ลีโอ
ตอลสตอย,
ศิลปะคืออะไร, สิทธิชัย แสงกระจ่าง
แปลจากฉบับภาษาอังกฤษโดย ไอล์เมอร์ โม้ด.
พิมพ์ครั้งที่สอง,กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์คมบาง ๒๕๓๘.
กรุงเทพมหานคร:๒๕๔๘.
เสถียร โพธินันทะ, พุทธธรรมกับปรัชญา, กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย.๒๕๔๓.
สุภน สมจิตศรีปัญญา, ลำพระเวส-เวสสันดรชาดกอีสาน
กัณฑ์มัทที(มัทรี) ๙๐ พระคาถา เคน ลา
วงศ์ ปริวรรต” ในเทียนภูมิปัญญาที่ดับไป,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์การ
สงเคราะห์ทหารผ่านศึก. ๒๕๓๙.
สุมาลี
เอกชนนิยม, ฮูปแต้มในสิมอีสาน
งานศิลป์สองฝั่งโขง, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน,
๒๕๔๘), หน้า ๙.
ศิลป์
พีระศรี, ศิลปะวิชาการ๓ ศิลปะสงเคราะห์(พิมพ์ครั้งที่
๔).มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
อนุสรณ์. ปทุมธานี: ๒๕๕๓.
สมภาร พรมทา. แนวคิดของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับศิลปะและวรรณคดี,วารสารปัญญา
ฉบับ ศิลปะวรรณกรรม เล่มที่ ๑ ปี ๒๕๕๗.
อู่ทอง
ประศาสน์วินิจฉัย, สิมม่วนซื่น,
กรุงเทพมหานคร:คณะบุคคลบ้านเรียนน้ำริน , ๒๕๕๓,
สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๘), หน้า ๙.
[11]
เสถียร โพธินันทะ, พุทธธรรมกับปรัชญา, (กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย.๒๕๔๓),
หน้า ๑.
หน้า ๑.
[12] สมภาร พรมทา. แนวคิดของพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับศิลปะและวรรณคดี,วารสารปัญญา
ฉบับ ศิลปะวรรณกรรม เล่มที่ ๑ ปี ๒๕๕๗.หน้า ๘.
[13] ลีโอ ตอลสตอย,ศิลปะคืออะไร,สิทธชัย กระจ่าง
แปลจากฉบับภาษาอังกฤษโดย ไอล์เมอร์ โม้ด.พิมพ์ครั้งที่ ๒.สำนักพิมพ์คมบาง.กรุงเทพมหานคร:
๒๕๓๘.หน้า ๑๘๗-๑๘๘.
เขียนเมื่อ 9 มิ.ย.60
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น