วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พุทธจริยศาสตร์ที่มีต่อการกราบไหว้รูปเคารพ

พุทธจริยศาสตร์ที่มีต่อการกราบไหว้รูปเคารพ
พระอดิเรก  อาทิจฺจพโล[๑]

 ๑.  บทนำ
                ปัจจุบันชาวพุทธส่วนหนึ่งละทิ้งการปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธศาสนาไปเป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์กราบไหว้ขอพร หวังผลดลบันดาล เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นพุทธพาณิชย์ในรูปแบบต่างๆ มากขึ้นๆ ทุกวัน โดยสิ่งที่เกิดมากขึ้นที่สุดคือ การบูชาพระพุทธรูป พระเครื่อง และของขลังประเภท ตระกรุด ผ้ายันต์ที่ผ่านพิธีกรรมปลุกเสกโดยพระสงฆ์  สิ่งเหล่านี้ถูกมองจากคนบางกลุ่มว่า เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดออกไป
                 ในพระพุทธศาสนามีการสร้างรูปเคารพ เช่น พระพุทธรูป ถือเป็นการแสดงออกถึงความระลึกถึงพระพุทธเจ้า  แต่ด้วยพระพุทธเจ้าไม่ได้ดำรงพระชนม์อยู่แล้ว  การจะเข้าเฝ้า  กราบไหว้ บูชาพระองค์จริงของพระพุทธเจ้าจึงไม่อาจกระทำได้  ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธบางส่วนจึงนำแนวคิดการสร้างรูปเคารพ มาสร้างเป็น พระพุทธรูปขึ้น เพื่อเป็นที่สักการบูชาแทนพระพุทธเจ้า  ซึ่งแม้จะมีหลักการทางพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงการเคารพบูชาพระพุทธเจ้าว่าเป็นหลักธรรมสำคัญประการหนึ่งใน คารวะธรรม    ประการ  ได้แก่  สัตถุคารวตา  การแสดงความเคารพต่อพระศาสดา คือ พระพุทธเจ้า แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังเป็นประเด็นข้อถกเถียงที่มีการโต้แย้งแนวคิดนี้มาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ที่ชาวพุทธทั้งสองกลุ่มสามารถยึดถือร่วมกันได้


๒. แนวคิดพุทธจริยศาสตร์กับการสร้างรูปเคารพ
แนวคิดของพุทธจริยศาสตร์ดั้งเดิม (Early Buddhist Ethics) มีหน้าที่สำคัญเพื่อค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความประพฤติของมนุษย์ เพื่อต้องการทราบว่าการกระทำลักษณะใดของมนุษย์ที่พระพุทธศาสนาจัดว่ามีคุณค่า เป็นการกระทำดี ถูกต้อง  รวมทั้งหาคำตอบเกี่ยวกับอุดมคติหรือเป้าหมายสูงสุดของชีวิตว่าคืออะไร  เป็นอย่างไร และพยายามค้นหากฎเกณฑ์ในการตัดสินการกระทำของมนุษย์นั้น  การสร้างพระพุทธรูปถือเป็นแนวคิดทางพุทธจริยศาสตร์ประการหนึ่งที่บรรดาผู้สร้างมีเป้าหมายเพื่อทำให้ชาวพุทธมีสัญลักษณ์เตือนใจให้ได้เจริญพุทธานุสสติ คือ  การตรึกระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระคุณต่างๆของพระองค์  เช่น ทรงเป็นผู้ตรัสรู้แล้วละกิเลสได้  เรียกว่า อรหํแปลว่า ผู้ไกลจากกิเลิศทั้งมวล หรือ พุทโธหรือแปลทับศัพท์ว่า พระพุทธเจ้า”  ทรงมีความเพียบพร้อมไปด้วยวิชชาและจรณะ  ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันล้ำเลิศ  และทรงมีพระเมตตาและเกื้อกูลประโยชน์สุขต่อมนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งปวง  กล่าวคือ  ทรงเป็นผู้เปี่ยมล้นด้วยพระพุทธคุณโดยย่อที่สุด ๓ ประการ ได้แก่ ๑) พระปริสุทธิคุณ ที่ทรงพ้นแล้วจากห้วงทุกข์ทั้งปวงเป็นแม่แบบที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงของมวลมนุษยชาติ ๒) พระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ แล้วนำมาเปิดเผยแก่ชาวโลกให้รู้ตาม ๓) พระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงเมตตาช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์
จากแนวคิดดังกล่าวนี้ การสร้างพระพุทธรูปนอกจากเป็นเครื่องระลึกถึงเมื่อได้สักการบูชาแล้ว  ยังสามารถนำมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนได้ด้วย  การสร้างพระพุทธรูปจึงก่อให้เกิดคุณค่าทางการปฏิบัติซึ่งหมายถึงการส่งเสริมจริยธรรมของผู้คนในสังคมไปโดยปริยาย  พระพุทธรูปจึงไม่เป็นแต่เพียงศิลปกรรมประเพณี  อันเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางด้านปฏิมากรรมที่ทรงคุณค่าของพระพุทธศาสนาเท่านั้น  แต่พระพุทธรูปยังเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธปรัชญา  เป็นเครื่องหมายของความเคารพ บูชา สักการะและเป็นเครื่องเตือนให้ประกอบความดีอีกด้วย    
ในพุทธจริยศาสตร์มีคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักการแห่งความดีมากมาย  พระพุทธรูปแม้เป็นเพียงวัตถุ  แต่คุณค่ามิได้มีอยู่เพียงความเป็นวัตถุ  หากแต่ยังสามารถเป็นสิ่งสื่อถึงหลักการแห่งความดีนั้น ๆ ได้ด้วย  แต่แนวคิดนี้ก็มีเงื่อนไขบางประการเกี่ยวกับตัวบุคคล คือบุคคลที่กราบไหว้บูชาจะได้รับประโยชน์ในแง่นี้ ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและหลักธรรมคำสอนของพระองค์เป็นสำคัญเท่านั้น  เพราะข้อเท็จจริงพระพุทธรูปมิสามารถสอนธรรมหรือชี้นำให้ปฏิบัติตนในทางที่ดีได้  แต่กลุ่มผู้สนับสนุนการกราบไหว้รูปเคารพก็ได้ให้เหตุผลสนับสนุนความคิดของตนว่า พระพุทธรูปสามารถเตือนใจให้ระลึกถึงหลักการความดีที่ได้ศึกษาหรือได้สดับรับฟังมาได้  การมีพระพุทธรูปไว้สักการบูชาจึงเป็นเครื่องมือทางจริยศาสตร์อย่างหนึ่ง เพราะเป็นแรงจูงใจให้บุคคลมีจริยธรรม โดยหัวใจสำคัญของจริยธรรมในทางพระพุทธศาสนา คือ  การละเว้นความชั่ว  การทำความดีและการทำจิตใจให้บริสุทธิ์  ตามหลักโอวาทปาฏิโมกข์นั่นเอง  
ยกตัวอย่าง เช่น  เมื่อมีการกระทบกระทั่งกันด้วยวาจาหรือพาดพิงกันในลักษณะโกรธเคืองต่อหน้าพระพุทธรูปในพระอุโบสถ  หากคู่กรณีมีจิตสำนึกที่ดีงามอยู่บ้าง  ประกอบกับระลึกถึงพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละเว้นความชั่ว  ก็จะมีสติว่า ต่อหน้าพระพุทธรูปไม่ควรแสดงกริยาที่ไม่ดี  ไม่ควรเบียดเบียน  ควรละเว้นวาจาหยาบคายเสีย  แม้ความโกรธเคืองไม่พอใจจะมีอยู่ในภายใน  แต่ภายนอกคือพฤติกรรมที่ไม่ดีก็ไม่ควรแสดงออก  นี้เป็นลักษณะของความละอายต่อบาปซึ่งมีพระพุทธรูปเป็นแรงจูงใจ    ในกรณีอื่น ๆ ก็เป็นลักษณะเดียวกันคือ  เมื่อมีพระพุทธรูปอยู่ในบ้านหรือเห็นพระพุทธรูปในสถานที่ต่าง ๆ หากบุคคลมีความศรัทธาอย่างจริงใจอยู่เป็นพื้นฐาน  ย่อมเป็นเครื่องเตือนและเป็นแรงจูงใจให้ประพฤติธรรมได้เสมอ
ส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องสัญลักษณ์ที่เป็นสื่อถึงปรัชญาที่แฝงอยู่ในพระพุทธรูป เมื่อพิจารณาถึงทัศนะทางปรัชญาของนักปรัชญา เช่น  เฮเกล (Hegel) มีแนวคิดว่า  ความงาม คือ ความจริงที่ฉายจากสิ่งสมบูรณ์ผ่านโลกทางประสาทสัมผัสตามที่จิตของมนุษย์ สามารถเข้าใจได้ ความงามจึงเป็นความจริงที่เรารับรู้ได้ในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและความงามที่มีสุนทรียภาพคือความงามในศิลปะ ซึ่งศิลปะที่แฝงความหมายของสิ่งที่ต้องการสื่อไว้ด้วยนั้นจัดเป็นศิลปะเชิง สัญลักษณ์ (Symbolic art) ซึ่งพบได้ในศิลปะทางศาสนาของฮินดู  อียิปต์และฮิบรู  ตามทัศนะนี้ประกอบกับสัญลักษณ์ที่ปรากฏในพระพุทธรูป  ทำให้สรุปได้ว่า  การสร้างพระพุทธรูปจัดเป็นศิลปะเชิงสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญทั้งต่อผู้สร้าง ในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสิ่งที่นำมาสู่สุนทรียภาพแก่ผู้พบเห็นหรือได้ สักการบูชา  ซึ่งผู้สร้างเองก็ต้องมีสุนทรียภาพภายในตนและจินตนาการที่แฝงไว้ด้วยความงาม และความจริงด้วย  เพราะฉะนั้นผลงานที่ปรากฏนอกจากจะเป็นเครื่องสื่อถึงความเป็นพระพุทธเจ้า  ความงามและความดี  ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงจิตใจ  ความรู้  และความสามารถอันน่าชื่นชมของผู้สร้างไปในตัว และเมื่อผลงานปรากฏก็เกิดผลดีต่อส่วนรวมหรือประชาชนโดยกว้างขวางในฐานะที่ เป็นผู้เสพหรือผู้สัมผัสกับงานศิลปะนั้น ๆ  ซึ่งในขั้นลึกอาจยังนำไปสู่การเข้าถึงธรรมอันแฝงอยู่ในลักษณะสัญลักษณ์ที่ ปรากฏอยู่ด้วยและเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันและมีความ สำคัญดังกล่าวมา

 ๓. ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการกราบไหว้รูปเคารพ
จากทรรศนะเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูปนี้ ได้รับการโต้แย้งจากกลุ่มพุทธศาสนิกชนบางกลุ่ม ที่มองว่า พุทธแท้ไม่มีคำสอนให้กราบไหว้พระพุทธรูป กลุ่มนี้มีแนวคิดว่า พุทธศาสนาที่แท้จริงต้องไม่ไหว้รูปเคารพ  พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรากราบไหว้ก้อนอิฐ ไม่ได้สอนให้เรายึดติดกับวัตถุ โดยมองว่าชาวพุทธในปัจจุบันที่ไม่มีความรู้จริงในศาสนาพุทธเสียเป็นส่วนใหญ่   โดยส่วนใหญ่จะเป็นพราหมณ์ฮินดูโดยไม่รู้ตัวคนที่รู้จริงและเข้าถึงศาสนาพุทธจริงๆ มีประมาณไม่ถึง  ๑๐% ของชาวพุทธทั้งหมด พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้สร้างรูปเคารพและกราบไหว้บูชารูปเคารพต่างๆ ไม่เคยสอนให้อ้อนวอนขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆให้มาช่วยเหลือ ท่านสอนให้พึ่งตนเอง  มีตนเป็นที่พึ่ง  มีธรรมเป็นที่พึ่ง ชาวพุทธสมัยปัจจุบันทําเกินไปจากคําสอนของพระพุทธเจ้าเสียส่วนใหญ่
พระพุทธเจ้าเคยห้ามไม่ให้บูชารูปเคารพหรือพวกศาลเจ้าที่ พระองค์ทรงให้ธรรมะ เป็นศาสดาต่อจากพระองค์ เพราะฉะนั้น การที่ต้องไปไหว้พระเจ็ดวัด มันเป็นประเพณีก็จริง แต่ก็ถือว่าหลงจากหลักคำสอนของพระองค์นั่นเอง เพราะสมัยพระองค์ก็ไม่มีการสร้างรูปหล่ออะไรทั้งสิ้น  สิ่งเหล่านี้เกิดจากชาวกรีกที่มาทำหลังจากนั้นนานมาก แต่เราถูกปลูกฝังให้เคารพรูปหล่อ ตะเวนไหว้พระ หรือรดน้ำมนต์ซึ่งถูกศาสนาพราหมณ์กลืนเข้ามาหลังจากพระองค์ปรินิพพาน แถมยังอ้างว่าพระพุทธเจ้าเป็นปรางค์หนึ่งของพระเจ้าในศาสนาตนอีก ทำให้ทุกวันนี้ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาแทนที่จะมุ่งทำความดี กลับมุ่งสร้างพระให้องค์ใหญ่ๆ เยอะๆ สร้างสถูปใหญ่ ซึ่งกลุ่มนี้ก็ยังยอมรับอยู่ว่า  เป็นเรื่องที่ดีทางวัฒนธรรม แต่เป็นการหลงจากคำสอนของพระองค์
แม้จะเห็นด้วยที่ว่าการไหว้เพื่อระลึกถึงพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ค่อนข้างดูเหมือนว่า แม้เวลาจะผ่านไปสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วมนุษย์เราก็ยังแทบไม่พัฒนาเลยในเรื่องความเชื่องมงาย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ด้วย ทำให้การเคารพรูปเคารพที่มองว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่สำหรับคนส่วนใหญ่มันเป็นการงมงาย ผิดจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ให้เคารพพระธรรมแทนพระองค์  ยกตัวอย่างสมมติว่า ถ้าเราได้ครอบครองพระเครื่องเป็นล้านๆ จะทำให้เราเป็นคนดีได้หรือไม่ คำตอบก็คือไม่ แต่ทุกวันนี้ คนหลงกับวัตถุที่เรียกว่า พระพุทธรูป แทนที่จะศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ สิ่งนี้เรียกว่าหลงผิด วัดแทนที่จะเป็นที่เผยแผ่คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธองค์ แต่กลับทำพระเครื่อง ปลัดขิก กุมารทอง เสกน้ำมนต์แจก ให้พวกที่เรียกตัวเองว่า พุทธมามะกะเชื่อว่าเป็นสิ่งศักสิทธิ์ ถามว่า พระพุทธองค์เคยทำอะไรแบบนี้ไหม เคยสอนให้พระสาวกของพระองค์ทำไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ นี่คือการหลง
ถ้าทุกคนสามารถคิดแยกแยะได้ว่าอะไรคือพุทธแท้ เราคงไม่มาแย้งหรอกว่าเป็นหลงหรือไม่ แต่ทุกวันนี้แทบทุกคนที่เข้าวัดก็ยังให้ความสำคัญ กับไหว้พระดัง ไหว้พระให้หวย ทำบุญก็ต้องทำกับเกจิ แต่วัดต่างจังหวัดบางที่หาคนทอดกฐินยังแทบไม่ได้ พระเครื่องก็ต้องหาดังมาใส่ แทนที่จะเอาธรรมะมาปฏิบัติ ตั้งแต่เด็กพวกเราก็ถูกสอนให้ท่องบทสวดมนต์เป็นนกแก้วนกขุนทองเป็นภาษาบาลีที่ไม่เข้าใจความหมาย แต่ไม่เคยปลูกฝังจริงจังให้ปฏิบัติดีตามคำสอนทำยังไง  แต่สอนให้ท่องธรรมมะเพื่อสอบให้ได้ เอานักธรรมให้ได้ พระก็เอาแต่หวังสมณศักดิ์ เพราะมีการแบ่งชั้นวรรณะ ผลของมันคือทุกวันนี้มีแต่ข่าวน่าหดหู่ใจ อย่างเจ้าอาวาสเสพเมถุน เป็นต้น ทุกวันนี้เราจึงถูกบิดเบือนให้ไหว้พระพุทธรูปในฐานะพระเจ้าผู้แสดงอภินิหารสามารถดลบันดารขอได้ทุกสิ่ง แทนที่จะเคารพพระองค์ในฐานะผู้รู้แจ้งในทางสู่นิพพาน
กลุ่มที่ ๒ ได้โต้แย้งแนวคิดของกลุ่มชาวพุทธที่ไม่ยอมรับการกราบไหว้รูปเคารพ โดยอธิบายว่าพระพุทธรูปเป็นสิ่งเคารพ เป็นองค์แทนในการระลึกถึงพระพุทธเจ้า หากไม่เคารพนับถือก็ไม่ควรดูหมิ่น ผู้เขียนเห็นว่าทั้งสองแนวคิดนี้ ล้วนมีฐานการมองศาสนาที่ต่างกัน พระพุทธศาสนาที่แท้ต้องไม่กราบไหว้รูปเคารพเลยจริงหรือไม่ กลุ่มนี้ให้คำตอบว่า ไม่จริง เหตุผลหนึ่งที่กลุ่มดังกล่าวยกมาสนับสนุน คือ พระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นศาสนาที่ปฏิเสธการแสดงความเคารพต่อวัตถุ โดยอ้างว่าแม้ว่าในยุคพุทธกาลหรือหลังพุทธปรินิพพานได้ไม่นาน ยุคแรกเริ่มของพุทธศักราช ก่อนจะมีการสร้างพุทธรูปขึ้น ในสมัยของพระเจ้ามิลินทร์ แห่งแคว้นคันธาระ จะยังไม่มีการสร้างพุทธรูปก็จริงอยู่ แต่คนที่นับถือพระพุทธศาสนาในยุคนั้น ก็มีการกราบไหว้วัตถุซึ่งเป็นสิ่งเคารพที่เรียกกันว่า เจดีย์ แล้ว
กลุ่มนี้ให้เหตุผลเป็นข้อสนับสนุนว่า เจดีย์ที่คนพุทธสมัยก่อน ในชมพูทวีปสักการบูชากัน มี ๓ ประเภท แบ่งเป็น บริโภคเจดีย์ ซึ่งหมายถึงสิ่งของเครื่องเคยใช้สอยของพระพุทธเจ้า รวมไปถึงต้นโพธิ์ที่เคยประทับนั่งตรัสรู้ ประการหนึ่ง อุเทสิกเจดีย์ ซึ่งหมายถึงสิ่งของที่มีคนสร้างขึ้นอุทิศเจาะจงพระพุทธเจ้า เช่น รอยพระพุทธบาท หรือพระพุทธรูป ประการหนึ่ง และสุดท้าย ธาตุเจดีย์ คือสถูปที่ใส่พระธาตุคือกระดูกของพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวก แบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ อย่างลังกาในยุคสมัยแรกของการนับถือพุทธศาสนา และมีการเริ่มต้นบวชภิกษุณี ก็มีหลักฐานปรากฏชัดว่า มีการบูชาต้นโพธิ์ มีการนำหน่ออ่อนเข้ามาปลูกไว้ พร้อมพร้อมกับการประดิษฐานของพระพุทธศาสนา  ยุคต่อมาก่อนหน้าจะมีการสร้างพระพุทธรูปนั้นอีก ก็มีการสร้างรอยพระพุทธบาท ซึ่งเป็นเครื่องแสดงหลักฐานของการเข้ามาหรือการมีอยู่แห่งพระพุทธศาสนาในพื้นที่นั้นนั้น นอกจากรอยพระบาทแล้ว ก็ยังนิยมสร้างรูปธรรมจักรและกวางหมอบ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้า ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ใช้เป็นสิ่งเคารพบูชาทั้งสิ้น
กลุ่มที่เชื่อว่าสามารถกราบได้ยืนยันว่า การกราบไหว้รูปเคารพมีมานานแล้ว แม้แต่ในสมัยพุทธกาลเองก็มี แต่สัญลักษณ์ของสิ่งแทนความเคารพอาจแตกต่างกันไปตามกาลสมัย พระเจ้าอโศกเองก็ทรงเคยยอมรับว่า เมื่อเวลาผ่านไป กำลังแห่งปัญญาของคนก็น้อยลงไปตามด้วย การจะนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ดังนั้นการสร้างสิ่งแทน จึงเป็นอุบายที่ดีอย่างหนึ่ง แล้วชาวพุทธควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อรูปเคารพ ให้ถูกต้องตามหลักการของศาสนา เพราะถ้าเราไปหลงคิดว่า พระพุทธรูป หรือเจดีย์ หรือต้นโพธิ์ มีค่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยบันดาลอะไรให้เราได้ พุทธรูปจะมีค่าไม่ต่างจากรูปปั้นตายาย หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่นั่นนี่ ตามศาลเจ้าริมทาง ที่คนขี่รถผ่านแล้วต้องบีบแตรใส่ มีข้อเสนอวิธีคิดแบบท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสนี่เคยแสดงปาฐกถาธรรม เรื่องภูเขาปิดกั้นพุทธธรรมว่า ถ้าเข้าใจในพระรัตนตรัยผิด เข้าใจความหมายของพระพุทธรูปผิด สิ่งเหล่านี้ นี่แหละที่จะปิดกั้นการเข้าถึงหลักคำสอนที่แท้จริงในพระพุทธศาสนาของเรา แต่ถึงท่านจะพูดเรื่องนี้ ท่านก็ไม่ปฏิเสธพระพุทธรูป  คือไม่สุดโต่ง แบบชาวพุทธกลุ่มแรกที่ถึงขั้นว่าให้เผาทิ้ง ตบหน้าพระพุทธรูป แบบนี้สุดโต่ง
ผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวคิดว่าการมีอยู่ของพระพุทธรูป ไม่ได้มีไว้ในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือบันดาลพรให้กับคนที่ไปกราบไหว้ แต่มีไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์เครื่องเตือนให้ระลึก เช่นเห็นพระพุทธรูป ก็ระลึกได้ถึงพุทธคุณคือความตื่นรู้ของพระพุทธเจ้า การเอาชนะความอยาก ความโลภ และความหลง กลุ่มที่สองนี้จึงสรุปความคิดของตนว่า ถ้าเราเข้าใจได้แบบนี้ พุทธรูปจะไม่เป็นอุปสรรคแห่งการเจริญสติเจริญปัญญาของเราเลย ไม่เป็นภูเขาลูกมหึมาสำหรับปิดกั้นพุทธธรรมอย่างที่ท่านพุทธทาสว่า กลับกันยังจะช่วยอุดหนุนอุปนิสัยให้เรามีความอ่อนโยน และนุ่มเย็นอีกด้วย พุทธศาสนาของคนที่กราบไหว้บูชารูปเคารพเหล่านี้ ด้วยความเข้าใจในอรรถสาระ ก็ยังเป็นพุทธศาสนาที่ให้ผลได้อยู่ ไม่จำกัดกาล

๔. พุทธจริยศาสตร์ที่มีต่อการกราบไหว้รูปเคารพ
ประการแรก  พระพุทธศาสนายึดถือหลักแนวคิดเรื่องการพึ่งตนเอง พระพุทธศาสนาสอนให้ตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นคำสอนในเบื้องต้น และสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง เป็นสักแต่ว่าทั้งนั้นสุดท้ายมันหมดจดจากกิเลสตัณหา  แม้ความเป็นตัวตนของตนก็ไม่มีและการปฏิบัติของศาสนาพุทธนั้นเป็นของสาธารณะ ใครก็สามารถศึกษาปฏิบัติได้คนพุทธโดยทั่วไปก็กราบไหว้นับถือเทพเทวดา แต่ถ้าเข้ามาศึกษาและปฏิบัติแนวพุทธแล้วก็จะถือพระรัตนตรัยเพียงเท่านั้น ไม่ถือด้วยความหลงงมงาย แต่ถือด้วยความเข้าใจว่าคำสอนและหลักปฏิบัติเหล่านั้นทำให้ดับทุกข์ได้จริง  ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่า การกราบไหว้พระพุทธรูปอาจทำให้พุทธศาสนิกชนที่ไม่เข้าใจหลักพุทธศาสนาดีพอ มีแนวโน้มออกห่างจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น จนในที่สุดก็จะกลายเป็นหวังพึ่งผลดลบันดาน เช่นเดียวกับการกราบไหว้ผีสาง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ในหนังสือ คู่มือมนุษย์ ว่า “คนไม่เคยเห็นเคยฟังพระไตรปิฎกเลย แต่เคยพิจารณาอย่างละเอียดลออทุกครั้งทุกคราวที่ความทุกข์เกิดขึ้นแผดเผาในใจของตน นี้แหละเรียกว่า คนที่กำลังเรียนพระไตรปิฎกโดยตรง”[๒] ซึ่งก็เท่ากับว่าแม้ชาวพุทธจะไม่กราบไหว้พระพุทธรูปหรือรูปเคารพเลย แต่ถ้ารู้วิธีที่จะพิจารณาทุกข์ ดับต้นเหตุของทุกข์ และเข้าใจวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ได้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นความถูกต้องตรงตามหลักการของพระพุทธศาสนาแล้ว แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้หมายความว่า เห็นด้วยกับแนวคิดของกลุ่มที่เชื่อว่าพุทธแท้ไม่มีรูปเคารพ เพียงแต่ขอเสนอว่า การมีหรือไม่มีพระพุทธรูปไม่ได้ทำให้พระพุทธศาสนาผิดเพี้ยนหรือ มีผลต่อผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย การโต้แย้งกันในประเด็นดังกล่าวจึงเท่ากับเป็นการสร้างประเด็นใหม่ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ข้อความในพระไตรปิฎกก็ชัดเจนแล้วว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงให้ยึดติดกับวัตถุสิ่งของใดๆ มากกว่าการปฏิบัติตามพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วนั่นเอง
ประการที่สอง เรื่องการสอนให้กราบไหว้พระพุทธรูป ที่ออกจากพระโอฐของพระพุทธเจ้านั้นไม่มี  ด้วยเหตุที่ว่า สมัยนั้นไม่มีการสร้างพระพุทธรูป และพุทธบริษัทสมัยนั้นถือเอาสิ่งอื่นเป็นที่เคารพแทนพระพุทธเจ้า เช่นรอยพระบาท พระคันธกุฏิฯ และพระพุทธเจ้าทรงเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตามคำสอนมากกว่าความสำคัญในการบูชาด้วยอามิส เช่นการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างรูปเคารพ การบูชาพระพุทธรูปแท้จริงนั้น เกิดหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานหลายร้อยปี ก่อนนั้นคนที่ต้องการจะระลึกถึงพระพุทธเจ้าในแง่ของความมีตัวตนจริงของพระพุทธเจ้า ก็เดินทางไปสักการะสังเวชนียสถาน คือที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่แสดงธรรมครั้งแรก และที่พระองค์ปรินิพพาน หรือไม่ก็ทำรูปธรรมจักรเป็นเครื่องระลึกถึงธรรม ระลึกถึงการแสดงธรรมของพระองค์พระพุทธรูปมาเกิดขึ้นในลำดับหลัง หลังจากที่ชนชาติที่นิยมทำรูปเคารพได้มานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว การเสนอว่าพระพุทธศาสนาไม่ปฏิเสธการกราบไหว้รูปเคารพนั้นเป็นเพียงการ นำเอาบริบทของสังคมในปัจจุบันมาเป็นข้ออ้างซึ่งขัดแย้งกับหลักการของพระพุทธศาสนา ทั้งนี้มาจากการที่คนในปัจจุบันต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตวิญญาณที่สามารถจับต้องได้ แทนที่จะปฏิบัติตามคำสอนที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางที่แน่นอน  ซึ่งชาวพุทธที่เข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้ก็ได้โต้แย้งไปแล้วว่า แม้นไม่มีรูปเคารพในพระพุทธศาสนาเลย ก็สามารถปฏิบัติเพื่อเป็นพุทธบูชาได้ พุทธประสงค์ก็ทรงต้องการเช่นนั้น 
ประการที่สาม แต่ก่อนการบูชาเป็นเพียงแสดงออกถึงการระลึกถึงพระองค์  ไม่ได้เป็นการอ้อนวอนบนบานศาลกล่าวอย่างที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เข้าในผิดและทำอยู่ และคนที่เข้าใจผิดเดี๋ยวนี้ก็ทำการบูชาสักการะเกินกว่าที่ควรจะทำ เพราะเหตุใดการบูชาพระพุทธรูป (บูชาอย่างถูกต้องไม่งมงาย ไม่เกินไปกว่าที่ควรจะบูชา) จึงเป็นสิ่งที่มีมาในศาสนาพุทธ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สร้างเจดีย์ หรือสถูปแล้วบรรจุอัฐิหรือของใช้ไว้บูชานั้น มี
           ๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
           ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
           ๓. พระอรหันต์
          ๔. พระเจ้าจักรพรรดิ
การบูชาเจดีย์ตามพุทธานุญาต ๔ ข้อนี้ก็บูชาได้ ไม่ผิด แต่การบูชาจนไม่ปฏิบัติตามคำสอนนั้นคือความหลงผิด พระพุทธศาสนาไม่ได้มีคำสอนให้กราบไหว้รูปเคารพแต่อย่างใด แต่มีคำสอนให้พึ่งตนเอง ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน ทีนี้ถ้ามองในมุมมองของพุทธศาสนิกชนที่รับเอาแนวคิดการกราบไหว้รูปเคารพมาตั้งแต่บรรพชน พระพุทธรูปที่พวกเขากราบไหว้  คือผู้เป็นศาสดาของศาสนาที่ชาวพุทธทั้งหลายเคารพกราบไหว้ ที่พวกเขากราบไหว้ก็เพราะถือว่า ท่านเป็นครู  เป็นอาจารย์เป็นผู้ให้แสงสว่างแก่เรา เพื่อการดำรงชีวิตเช่นเดียวกับที่เรา ไหว้ครู  ไหว้กราบ พ่อแม่ ซึ่งเมื่อมองจากมุมดังกล่าว จะเป็นการหักหาญน้ำใจกันเพียงใดที่จะมีข้อห้ามในการราบไหว้รูปเคารพเหล่านี้ พระพุทธองค์คงไม่ประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน เพราะทรงเผยแผ่พระธรรมคำสอนด้วยวิธีการที่ไม่หักหาญความเชื่อดั้งเดิมของเขาแต่อย่างใด แต่จะทรงแสดงให้เห็นว่า อย่างไหนถึงจะเป็นการกราบไหว้บูชาที่ถูกต้องต่างหาก ดังเช่นเรื่อง ทิศทั้ง ๖ ก็ไม่ทรงบอกว่าทรงห้ามกราบไหว้ทิศเหล่านั้น แต่ทรงแสดงให้เห็นว่า ความหมายที่แท้จริงของทิศเหล่านั้นคืออะไร ทำนองเดียวกับเรื่อง รูปเคารพที่ผู้เขียนเห็นว่า แม้จะมีการกราบไหว้พระพุทธรูป แต่พระพุทธศาสนาก็ได้ทำหน้าที่อธิบายให้เข้าใจแล้วว่า พุทธแท้นั้นไม่ได้อยู่ที่องค์พระ แต่อยู่ที่การปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพุทธองค์ ที่ทรงสอนให้พึ่งพาตนเอง ต่างหากเล่า

๕.  สรุป
ผู้เขียนจึงเห็นว่าการมีพระพุทธรูปไม่ได้ทำให้ศาสนาแย่ลงหรือบิดเบือนอะไรเลย สมัยพุทธกาลเวลาพระเถระสำคัญนิพพาน  พระพุทธเจ้าตรัสให้ก่อเจดีย์บรรจุอัฐิให้คนผ่านไปมาสักการะ หรือตอนพระราชาเศรษฐีเมืองสาวัตถีพระอานนท์พระมหาโมคคัลลานะช่วยกันปลูกต้นโพธิ์เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงตอนพระพุทธเจ้าไม่อยู่วัดเชตวัน ตรงนี้แหละทำให้เราทราบว่า  พระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธการกราบไหว้สิ่งของแทนบุคคลเพื่อบูชาคนดี  แต่มีพุทธประสงค์ไม่ให้ลุ่มหลง พระองค์ตรัสว่า เจดีย์มีสามอย่างคือ  ธาตุเจดีย์  เจดีย์บรรจุพระธาตุ  อุทเทสิกเจดีย์  เจดีย์หรือสิ่งของตัวแทนให้ชวนระลึกถึงและบริโภคเจดีย์  เจดีย์บรรจุของใช้ของสอยส่วนตัว พระพุทธรูป ต้นโพธิ์จัดเป็นอุทเทสิกเจดีย์  ทำความเคารพกราบไหว้ได้  เพราะเราไม่ได้ไหว้สิ่งนั้น  แต่เราไหว้เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีต่างหาก
ในปรินิพานสูตร กล่าวว่า เมื่อพระพุทธเจ้าล่วงลับไปแล้วให้ทำยังไงกับพระธาตุของท่าน พระองค์ก็ไม่ได้ บอกให้เอาไปโยนทิ้งน้ำ แต่บอกให้ทำตามประเพณีที่ พระเจ้าจักรพรรดิทำกันคือการสร้าง เจดีย์ บรรจุอัฐิ ของพระพุทธเจ้า การสร้างรูปเคารพเพื่อบูชา ก็เป็นการทำตามประเพณี ของการบูชาพระเจ้าจักรพรรดิ การกระทำบ่อยๆ จะส่งผลให้จิตน้อมไปทางกุศล กลุ่มที่อ้างว่าพระพุทธรูปไม่ต้องกราบก็ได้ล้วนแต่ทำให้สะสมนิสัยสอนยาก ทำไปให้ใจหยาบกระด้าง น้อมไปทางกุศลได้ยาก ตรงข้ามกับกลุ่มที่กราบไหว้พระพุทธรูป เป็นการสะสมนิสัย ที่อ่อนน้อม ถ่อมตน สอนง่ายซึ่งนำไปสู่การสร้างศรัทธา ต่อศาสนาพุทธ ต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ง่าย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการให้ทาน รักษาศีล ให้ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม  ก็เพราะทรงเห็นว่า หากไม่มีพื้นฐานพวกนี้ การที่ปุถุชนจะกระทำตนให้บริสุทธิ์จนถึงโสดาบัน หรือแก่นธรรมใดๆ ตามอย่างพระองค์ยิ่งจะเป็นการยาก ซึ่งจะทำตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องเริ่มจากศรัทธาก่อนเป็นเบื้องต้น ดังนั้นสาระกับพิธีกรรมจึงต้องไปคู่กัน จะทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดาของโลก พิธีจึงกรรมมีส่วนทำให้ศาสนายืนยาวมาจนปัจจุบัน แม้นักปราชญ์นอกพระพุทธศาสนาบางท่านก็เห็นด้วยกับคำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่องนี้ ขอยกเอาคำพูดของเซนต์ ออกัสตีน (St. Augustine) เป็นตัวอย่าง เขากล่าวว่า
"เราเข้าใจเพื่อจะได้เชื่อ และเราเชื่อเพื่อจะได้เข้าใจ บางสิ่งบางอย่างเราไม่เชื่อจนกว่าจะเข้าใจ แต่ก็มีบางอย่างที่เราจะเข้าใจไม่ได้เลย ถ้าเราไม่เชื่อเสียก่อน ปัญญาและศรัทธาจึงต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน" [๓] เพราะพระพุทธคุณ เป็นนามธรรม โดยหลักทั่วไปแล้ว การระลึกถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมล้วนๆ สำหรับคนทั่วไปแล้วทำได้ยาก เหมือนระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ หากจะมีรูปท่านอยู่ด้วยจะให้ความรู้สึกแปลก คือให้ความซาบซึ้งมากกว่าที่คิดถึงในเชิงนามธรรมล้วนๆ ตามความจริงแล้ว ก็หาได้คิดอยู่เพียงรูปถ่ายของท่านไม่ รูปถ่ายท่านเป็นเพียงสื่อให้คิดได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
แนวคิด การกราบ ไหว้ พระพุทธรูป เจดีย์ แท้จริงแล้วเรากราบไหว้พระพุทธรูปด้วยเหตุผล แม้พระพุทธศาสนาไม่มีแนวคิดในการกราบไหว้รูปเคารพ  แต่ก็ไม่ปฏิเสธหากพุทธศาสนิกชนประสงค์จะกราบไหว้บูชา เพราะพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมากมายแม้จะสร้างด้วยอะไรก็ตาม หากผู้ไหว้ไม่ติดอยู่เพียงรูปเหล่านั้น รูปเหล่านั้นก็สามารถทำหน้าที่สื่อทางจิตใจเพื่อได้อาศัยรำลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระพุทธคุณได้  การกราบไหว้พระพุทธรูปนั้นก็ไม่เหมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน      เพราะพวกสร้างรูปเคารพประเภทนั้น ผู้ที่ตนนำมาสร้างเป็นรูปไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง เป็นแต่คิดฝันขึ้น บอกเล่าสืบต่อกันมา ส่วนมากจะเกิดขึ้นจากพวกที่ต้องการประโยชน์ จากความนับถือรูปเคารพเหล่านั้นของคนทั้งหลาย คนนับถือรูปเคารพจึงนับถือ เพราะการไหว้รูปเคารพ จึงเป็นการกระทำเพื่อ ๑. ประจบเอาใจรูปเคารพเหล่านั้น ไม่ให้ท่านโกรธ  ๒. ต้องการอ้อนวอน บวงสรวง ให้ท่านประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ตนต้องการ และพิทักษ์รักษาตน พร้อมบุคคลที่ตนต้องการให้รักษา แม้ว่าบุคคลบางคนจะไหว้พระพุทธรูป เพื่อต้องการของสิ่งที่ตนต้องการบ้าง แต่ไม่มีลักษณะของการประจบเอาใจต่อพระพุทธรูป เพื่อไม่ให้ท่านโกรธ อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน พระพุทธรูปจึงไม่เหมือนกับรูปเคารพอย่างที่คนบางคนเข้าใจ”[๔]
ที่ผ่านมาพุทธจริยศาสตร์ได้ให้คำตอบเพื่อตัดสินว่า การกราบไหว้รูปเคารพในพระพุทธศาสนาสามารถทำได้หรือไม่ หรือเป็นแต่เพียงความหลงใหลไปกับวัตถุ ที่ชาวพุทธยึดติดเอาไว้อย่างเหนียวแน่นอย่างที่พระพุทธองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น 



บรรณานุกรม

พุทธทาส  อินฺทปญฺโญ, คู่มือมนุษย์, กรุงเทพมหานคร: บริษัท พิมพ์ดี จำกัด. ๒๕๕๕.
พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) ,ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา ๒, กรุงเทพมหานคร: พิมพ์
เผยแพร่เพื่อ เป็นพุทธบูชาและธรรมบรรณาการ, พ.ศ. ๒๕๒๒.
วศิน  อินทสระ,ตรรกศาสตร์พุทธศาสนา.พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ธรรมดา,๒๕๔๘.
สื่อออนไลน์, ธรรมะและศาสนา. https://www.dek-d.com/board/view/3025741/.
สืบค้นเมื่อ ๑๔ เม.ย. ๒๕๖๐.




[๑] นิสิตปริญญาเอก สาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
[๒] พุทธทาส อินฺทปญฺโญ, คู่มือมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร: บริษัท พิมพ์ดี จำกัด. ๒๕๕๕),หน้า ๕๕.
[๓] สื่อออนไลน์,ธรรมะและศาสนา. https://www.dek-d.com/board/view/3025741/.สืบค้นเมื่อ ๑๔ เม.ย. ๒๕๖๐.
[๔] พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) ,ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา ๒, (กรุงเทพมหานคร: พิมพ์เผยแพร่เพื่อเป็นพุทธบูชาและธรรมบรรณาการ, พ.ศ. ๒๕๒๒), หน้า ๒๓๐-๒๓๑.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์เชิงปรัชญา พระอัครสาวก

  พระธาตุพนม บรมเจดีย์                                                                                                                      ...