วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทวิจารณ์หนังสือ "พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง"

บทวิจารณ์หนังสือ
เรื่อง พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง
เขียนโดย สุมาลี  มหณรงค์ชัย

ผู้วิจารณ์ : พระอดิเรก  อาทิจฺจพโล (โลกะนัง)[1]

๑. บทนำ
        หนังสือเรื่อง “พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” เขียนโดย รศ.ดร.สุมาลี  มหณรงค์ชัย[2] เล่มนี้เป็นหนังสือที่ได้รับทุนสนับสนุนการเขียนตำราจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี ๒๕๔๗ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่โรงพิมพ์สำนักพิมพ์ศยาม เพื่อนำเสนอมุมมองว่า ความว่าง ทางสายกลาง และการอิงอาศัยกันมีอยู่ของสรรพสิ่ง เป็นหลักคำสอนที่พระพุทธศาสนามหายานทุกนิกายต่างก็นำมาตีความให้ความหมายและถกเถียงกันไปตามมติของคณาจารย์ในแต่ละสำนักอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนาภายหลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นต้นมา ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากคำสอนเรื่องดังกล่าว ด้วยกันแทบทั้งสิ้น  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสำนักพุทธในยุคหลังโดยมากจะพัฒนาหลักคำสอนในเชิงปรัชญา ซึ่งทำให้มีการถกเถียงกันถึงความหมายของคำว่า ความว่าง ทางสายกลาง ว่าหมายถึงอะไร สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดที่พยายามแก้ปัญหาที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้คือ สำนักมาธยมิกะ ผู้วางรากฐานคำสอนคือ ท่านนาคารชุนะ มาธยมิกะแปลว่าผู้นับถือคำสอนเรื่องทางสายกลาง มาธยมิกะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศูนยตวาท หมายถึงคำสอนที่ประกาศความว่างของสิ่งทั้งหลายเป็นเรื่องสำคัญที่แสดงให้เห็นทางสายกลางตามแนวทางที่สำนักนี้สอน แต่ก็เป็นประเด็นที่สร้างปัญหาในการอธิบายคำสอนของสำนักนี้ด้วย
          คำสอนมาธยมิกะ เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางความคิด มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อสร้างเหตุผลที่ดีที่สุด สำนักพุทธใหญ่ๆ ที่ได้รับการยอมรับในเวลานั้นส่วนใหญ่จะมีความอธิบายที่ต่างกันในเรื่องนี้ และนั่นนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมสงฆ์ สภาพสังคมชาวพุทธในอินเดียเวลานั้นมีความวุ่นวายสาเหตุเพราะพระภิกษุที่เป็นนักคิดมักจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน และตีความพระธรรมวินัยไปตามจริตของแต่ละคน ทำให้ความเชื่อเป็นไปคนละทิศละทางหาทางปรองดองกันไม่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ชาวพุทธผู้ที่ต้องการแสวงหาที่สุดแห่งความเชื่อหันหลังให้กับศรัทธาที่เคยมีต่อพระธรรมและพระสงฆ์ ทวนเข็มกลับไปสู่การศึกษาเรื่องราวของพระพุทธเจ้ากันใหม่

๒. สรุปสาระสำคัญของเนื้อหา
         หนังสือเรื่อง นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง บทสรุปของหลักการแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบางอย่างแท้จริง สามารถสรุปสาระสำคัญของเนื้อหาแบ่งเป็นสามภาค ดังนี้
สาระสำคัญภาคที่หนึ่ง สุมาลี  มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นสภาพแวดล้อมและหลักคำสอนในยุคก่อนกำเนิดสำนักมาธยมิกะ โดยเริ่มจาก ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวพุทธที่ยอมรับคำสอนว่าด้วยเรื่องของความว่าง ทางสายกลาง และการอิงอาศัยกันและกันมีอยู่ของสรรพสิ่ง ความเป็นมาของสำนักนี้สามารถสืบย้อนขึ้นไปนั้นแต่สมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช(ประมาณ ๒๕๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน)เหตุที่ดลใจให้ปฐมาจารย์ของสำนักคือท่านนาคารชุนะ (๑๕๐-๒๕๐ ปีหลังคริสต์กาล) เขียนงานอธิบายคำสอนว่าด้วยหลักการทางสายกลาง เกิดจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกได้แก่แนวคิดของสำนักฮินดูโบราณเช่นสาขยะ เรื่อยไปจนถึงอิทธิพลของพระสูตรชิ้นสำคัญ ที่ได้รับการกล่าวอ้างว่าค้นพบโดยท่านนาคารชุนะเอง พระสูตรนั้นก็คือ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ปัจจัยภายในได้แก่ ความขัดแย้งในการตีความหลักธรรมของพระพุทธเจ้า การให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าแทนที่พระธรรมและคำสอนที่เบี่ยงเบนออกจากพระพุทธประสงค์ เหล่านี้นำไปสู่การแสวงหาทางสายกลางในพระพุทธศาสนา เป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจัยภายในคือแรงผลักดันอันแท้จริงที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของสำนักมาธยมิกะปัจจัยภายนอกเป็นเพียงแรงเสริมเท่านั้น[3]
ความสนใจในเรื่องราวของพระพุทธเจ้าทำให้ชาวพุทธบางส่วนหันกลับมาขบคิดในสิ่งที่ดูเหมือนตอบไม่ได้ก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะการตีความอาการนิ่งของพระพุทธองค์ นักปราชญ์หลายท่านเชื่อว่า มาธยมิกะ หรือมัธยมกะเกิดจากการอธิบายท่าทีของพระพุทธองค์ที่ไม่ทรงตอบคำถามบางอย่าง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า มีความเห็นมากมายเผยแพร่อยู่ในสังคมตั้งแต่ครั้งพุทธกาล พรหมชาลสูตร กล่าวถึงทิฐิ(คือความเห็น)ทั้งหลายที่นักคิดสอนกันมีจำนวนมากถึง ๖๒ แนวคิด[4] ในบรรดาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปัญหาบางข้อที่มีผู้ถามพระพุทธเจ้าแต่ไม่ได้รับคำตอบใด พระพุทธเจ้าจะทรงนิ่งไม่ทรงตอบคำถามเหล่านั้น เรียกคำถามเหล่านั้นว่า ปัญหาอัพยากฤต[5]
อาการนิ่งของพระพุทธเจ้าก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมากมายในสายตาของคนนอก พระพุทธองค์ทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่รู้จริงบ้าง หรือไม่ก็รู้แต่ไม่มีความสามารถในการแสดงเหตุผลออกมาให้ประจักษ์ แต่ในสายตาของชาวพุทธส่วนใหญ่มองว่าพระองค์ทรงทราบคำตอบดีแต่ไม่ประสงค์จะชี้แจง เหตุผลของการไม่ชี้แจงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธฝ่ายเดิมไม่สนใจ แต่สงฆ์หมู่ใหญ่บางกลุ่มซึ่งต้องการศึกษาเรื่องราวของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังเห็นว่าประเด็นนี้มองข้ามไม่ได้ พวกเขาเชื่อในความเป็นผู้รู้ทุกอย่างของพระองค์ เชื่อว่าพระพุทธองค์รู้ทุกอย่าง ในขณะที่คนทั่วไปรู้ได้เพียงบางอย่าง[6]
ความขัดแย้งในธรรมก็มีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดคำสอนแบบมัธยมกะ เนื่องจากพระพุทธพจน์ในหลายแห่งระบุว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” พระพุทธพจน์นี้ก่อให้เกิดความใคร่รู้ว่าจะต้องเห็นธรรมแบบใดจึงหยั่งถึงพระพุทธเจ้าได้ ยิ่งกว่านั้น พระพุทธโอวาทในช่วงท้ายของพระชนม์ชีพระบุไว้ชัดถึงกาลภายหน้า ภิกษุจะมีพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดาสืบต่อจากพระองค์[7] ทำให้ชาวพุทธในยุคต้นมหายานพยายามขบคิดว่า “ธรรม” ที่พระพุทธเข้าทรงให้ความสำคัญเทียบเท่าพระองค์นั้นหมายถึงอะไร ทั้งหมดนี้คือตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดคำสอนแบบมัธยมกะ ปัจจัยภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของสำนักนี้คงไม่มีอะไรโดดเด่นกว่าคำสอนปรัชญาปารมิตากับสำนักฮินดูที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น ซึ่งก็คือสำนักสางขยะ
สำนักสางขยะ[8] ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในบรรดาหกสำนักปรัชญาฮินดู ไม่นับถือพระเจ้า อีกทั้งมีคำสอนเชิงปรัชญาชั้นสูงคล้ายคลึงกับที่นักปราชญ์พุทธสอนอยู่หลายประการ ทำให้เราไม่อาจมองข้ามความสำคัญ ปัญหาที่สำนักสางขยะประสบก็เป็นปัญหาเดียวกับที่ท่านนาคารชุนะชี้ให้เห็นในฝั่งของพุทธศาสนา เพียงแต่หน้าที่ในการวิพากษ์สำนักนอกพุทธส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่ท่านอารยเทวะ ซึ่งเป็นศิษย์เอกและผู้วางหลักการสายกลางร่วมกับพระนาคารชุนะ กล่าวโดยสรุป มูลเหตุที่ก่อให้เกิดคำสอนมัธยมกะได้แก่ สำนักพุทธที่มีคำสอนสนับสนุนความจริงที่สุด แบ่งย่อยออกได้อีกสองกลุ่มคือ
กลุ่มแรกเน้นความจริงที่อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของจิตเรียกว่า สำนักฝ่ายอภิธรรมหรือพวกสัจนิยม สำคัญๆ คือ สรวาสติวาทะ กับ เสาตรานติกะ
กลุ่มที่สองเน้นความจริงที่อยู่พ้นการรับรู้ของจิต เรียกว่าพวกโลโกตตรวาทะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงฆ์หมู่ใหญ่หรือ มหาสังฆิกะ
ทั้งสามกลุ่มล้วนเป็นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของการทำให้คำสอนพุทธเป็นสัมบูรณนิยม(Absolutism)[9]
ด้วยเหตุว่ามัธยมกะเป็นคำสอนที่มุ่งแก้ไขความเห็นผิดอันเป็นทางสุดโต่งทั้งหมดนักปราชญ์หลายท่านจึงยกย่องให้คำสอนของสำนักนี้(โดยเฉพาะของท่านนาคารชุนะ) เป็นหัวใจของพุทธปรัชญา ท่านมีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อพุทธศาสนา เพราะช่วยล้างความอ่อนแอ (แก้ความเข้าใจผิด) ให้กับรากแก้วทางปัญญาสองกระแสหลักของอินเดีย คำสอนของท่านคือทางสายกลางที่พ้นไปจากทางสุดโต่งของทั้งอัตตาและอนัตตา ศูนยตาคือการหลุดพ้นจากกรอบของขั้วสุดโต่งทั้งสองทาง[10]
สาระสำคัญภาคที่สอง สุมาลี  มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นหลักคำสอนสำคัญๆ ของพระนาคารชุนะไว้พิจารณา ๕ ประเด็นคือ (๑) วิภาษวิธี (๒) การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง (๓) ความจริงสองระดับกับความว่าง (๔) ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง และ (๕) อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ
ประเด็นที่ ๑ วิภาษวิธี (Dialectic) คำว่า วิภาษวิธี หมายถึงการดำเนินการอภิปรายหรือโต้วาทีเป็นกระบวนการทางความคิดที่นำไปสู่การตระหนักรู้อย่างแจ้งแจ้งถึงข้อจำกัดของเหตุผล[11] โดยทั่วไปการเคลื่อนไหวทางความคิดในลักษณะนี้มักจะดำเนินไปในสองรูปแบบ กล่าวคือ (๑) เพื่อปฏิเสธหรือวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดอื่นเป็นหลัก วิภาษวิธีถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์เพื่ออภิปรายหรือโต้แย้งความคิดผู้อื่น วิธีการเป็นไปในเชิงปฏิเสธหรือหักล้าง (negative/destructive dialectic) (๒) เพื่อแสดงจุดยืนทางความคิดของผู้นำเสนอ โดยพยายามหาบทสรุปหรือเป้าหมายที่เป็นสัจธรรม ในแง่นี้วิภาษวิธีเป็นเครื่องมือที่ใช้ปลูกปัญญาทำให้หยั่งเห็นความจริงในท้ายที่สุด วิธีการจึงเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์กว่าแบบแรก(constructive dialectic)
วิภาษวิธี สามารถถูกมองทั้งในขอบเขตของทฤษฎีความรู้และอภิปรัชญา ในแง่ของทฤษฎีความรู้ วิภาษวิธีเป็นวิธีการที่ใช้ในการถกเถียง โดยบุคคลที่มีชื่อเสียงในการใช้วิธีการเช่นนี้ในทางตะวันตกคือโสกราตีส (Socrates) ขั้นตอนประกอบไปด้วยการทำตัวเป็นผู้ขอความรู้ พยายามตะล่อมถามให้คู่สนทนานิยามหรือแสดงข้อคิดเห็นของเขาออกมาให้ชัดเจน จากนั้นก็ทำให้เห็นว่า จะต้องมีข้อสรุปบางอย่างเกิดขึ้นจากการแสดงความคิดเห็นนั้น ต่อมาก็ชี้ให้เห็นว่าข้อสรุปที่เกิดขึ้นนั้นขัดแย้งกับข้อเท็จจริง สามัญสำนึก หรือข้อความที่ยอมรับกันอยู่ก่อน เป้าหมายก็เพื่อทำให้ข้อคิดเห็นของคู่สนทนาไร้น้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ
วิภาษวิธีเป็นทัศนะที่เชื่อว่า ความจริงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง การเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดพัฒนาการที่วางพื้นฐานอยู่บนความขัดแย้งภายใน เริ่มต้นจากความเชื่อว่าทุกสิ่งมีความขัดแย้งภายในเป็นพื้นฐาน ความขัดแย้งนี้ดำเนินไปในสามภาวะคือ ภาวะพื้นฐาน (thesis)  ภาวะแย้ง (antithesis) จนก่อให้เกิดสภาพใหม่ที่เรียกว่าภาวะสังเคราะห์ (synthesis) พัฒนาการของสิ่งทั้งหลายเกิดจากความขัดแย้งแบบนี้ ถ้าไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีสิ่ง ภาวะ หรือคุณภาพใหม่ใดๆ เกิดขึ้น
ยิ่งกว่านั้นวิภาษวิธียังเกิดจากการหยั่งเห็นว่าระบบความคิดทั้งหลายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นความคิดเป็นปรากฏการณ์หรือมายาภาพ ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ได้จากการประจักษ์ตรง ทฤษฎีทั้งหลายในโลกเป็นความจริงที่สร้างขึ้นมาบนฐานของความคิด แม้จะดูน่าเชื่อถือหรือหนักแน่นเพียงไรมันก็ยังเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลสืบสาวหาข้อสรุป (ที่เรียกว่าการอนุมาน) ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ไปยึดถือเป็นจริงเป็นจัง[12] ในการที่จะทำให้บุคคลตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดของเหตุผล เบื้องต้นจะนำความเห็นหรือทฤษฎีที่เราต้องการตรวจสอบมาจัดกลุ่มก่อนความคิดหนึ่งๆ ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เมื่อนำมาตีแผ่จะตกลงไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในสี่รูปแบบดังนี้คือ ยืนยัน  ปฏิเสธ ทั้งยืนยันและปฏิเสธ และไม่ใช่ทั้งยืนยันหรือปฏิเสธ ท่านนาคารชุนะจัดระบบการตรวจสอบเหตุผลออกมาเป็นชุด เรียกว่า จตุษโกฏิ ตำราบางเล่มเขียนว่า จตุษโกณะ หรือจตุกโกฏิ ก็มี แปลง่ายๆว่าสี่มุม  (หรือสี่ขั้วความคิดหนึ่งๆ ของเราอาจตกอยู่ในหลายมุมพร้อมๆ กันก็ได้ เช่นเวลาที่เรายืนยันความคิดบางอย่างเราก็อาจจะปฏิเสธความคิดอีกอย่างไปโดยปริยาย) ท่านก็จะแสดงให้เห็นต่อไปว่า ไม่ว่าจะใช้เหตุผลไปในทางยืนยันหรือปฏิเสธ ความคิดของบุคคลนั้นก็จะนำไปสู่ภาวะที่ขัดแย้งตัวเอง ต้องประสบกับความไร้สาระ (absurdity) ของเหตุผลในท้ายที่สุด
ในเวลานั้น เรียกวิธีการเช่นนี้ว่า ปรสังคะ (prasanga – reduction ad absurdum) การชี้ให้เห็นข้อบกพร่องทางเหตุผลของความคิด ไม่จำเป็นที่ผู้ใช้วิภาษวิธีจะต้องนำเสนอความคิดแก้ต่างอะไรออกมา เพียงแค่ชี้ให้คู่กรณีเห็นข้อบกพร่องในทิฐิของเขา ให้เหตุผลของพวกเขาเพื่อตรวจสอบและลดทอนความน่าเชื่อถือของพวกเขาเอง ผู้ใช้วิภาษวิธีไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเอง และที่สำคัญวิภาษวิธี เป็นเครื่องมือตรวจสอบเหตุผล ไม่ได้เป็นทิฐิหรือทัศนะที่จะต้องถูกปกป้องแต่อย่างใด หน้าที่ของเครื่องมือนี้คือทำลายความน่าเชื่อถือของความเห็นทั้งหลาย ทำให้บุคคลที่ติดอยู่ในความเชื่อต่างๆ ต้องจำนนและยอมปลดปล่อยตัวเองจากความเชื่อนั้น[13]
ประเด็นที่ ๒ การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง  ประเด็นนี้สุมาลี มหณรงค์ชัยได้ยกข้อความในคัมภีร์ มูลมัธยมกการิกา ตอนหนึ่งที่ถูกอ้างถึงบ่อยครั้ง ดังนี้ “เราประกาศว่า อะไรก็ตามที่เป็นการอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นมาอยู่ (ปรตีตยสมุตปาทะ) นั่นคือความว่าง นั่นเกิดจากการบัญญัติ และนั่นคือทางสายกลาง” ข้อความนี้นักคิดส่วนใหญ่เห็นร่วมกันว่า เป็นบทสรุปหลักการสำคัญทางพุทธศาสนาที่ท่านนาคารชุนะชี้ไว้ งานเขียนชิ้นสำคัญของท่านนาคารชุนะคือ มูลมัธยมกการิกา เต็มไปด้วยข้อความที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความจริงแบบที่สุด (นัยยะคือความจริงภววิทยา) ในคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยไม่ผ่านความคิดปรุงแต่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับแก่นสารบางอย่างที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง ยิ่งยืนยันมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าบุคคลนั้นกำลังสรุปความจริงจากความคิด ซึ่งส่วนใหญ่ของความคิดก็มาจากจินตภาพที่จิตสร้างขึ้นจากความเข้าใจและประสบการณ์แบบชาวโลก[14]
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่าการจะอธิบายหลักการของพระนาคารชุนะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องระมัดระวังเรื่องแก่นสารภาวะที่ท่านปฏิเสธเป็นอย่างมาก ทัศนะของบุคคลและกลุ่มชนในระดับโลกิยะทั้งหมดล้วนสนับสนุนแก่นสาร (สวภาวะ) บางอย่างที่สามารถจัดลงในจตุษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้น ทำให้ไม่มีทัศนะใดเป็นที่ยอมรับหรือเรียกได้ว่าถูกต้อง ปัญหาคือถ้าไม่มีทัศนะใดเรียกได้ว่าถูกต้อง ทุกทัศนะต่างก็เป็นมิจฉาทิฐิในแง่ที่ไม่เอื้อต่อความพ้นทุกข์ แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าเป็นสัมมาทิฐินั้นควรจะถูกเข้าใจว่าอย่างไร เราจะอธิบายสัมมาทิฐิโดยไม่ทำให้มันกลายเป็นทัศนะที่สนับสนุนสวภาวะได้หรือไม่ เพื่อที่จะไม่ทำให้คำสอนของท่านนาคารชุนะประสบปัญหาขัดแย้งตัวเอง สัมมาทิฐิจะต้องไม่ใช่ทัศนะในแบบที่ชาวโลกเข้าใจ อาการนิ่งเงียบของพระองค์ในแง่หนึ่งตีความได้ว่า เป็นการแสดงจุดยืนว่าความเข้าใจของพระองค์ไม่ใช่อย่างเดียวกับนักคิดทั้งหลาย เพราะถ้าใช่ พระพุทธเจ้าคงจะตอบปัญหาของพวกเขาเพื่อสร้างความกระจ่างร่วมกันไปนานแล้ว

ประเด็นที่ ๓ ความจริงสองระดับกับความว่าง สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่า สำหรับชาวพุทธไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด ส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับคำสอนในเรื่องความจริงสองระดับคือสมมติกับปรมัตถ์ บางคนก็นิยมเรียกความจริงโลกิยะกับความจริงโลกุตระ ความจริงสมมติเป็นเรื่องของการสร้างความรู้ความเข้าใจแบบชาวบ้าน มีการบัญญัติชื่อเรียกสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรู้เช่น โต๊ะ สุนัข หรือชายหญิง  ส่วนความจริงปรมัตถ์เป็นความจริงเหนือโลก ข้าพ้นบัญญัติ แต่ปฏิเสธไม่ได้ ความเข้าใจทำนองนี้นำไปสู่ความเชื่อว่าความจริงสองระดับดำรงอยู่แยกขาดจากกัน ในการก้าวสู่ความพ้นทุกข์บุคคลจะต้องแยกโลกิยวิถีออกจากโลกุตรวิถีอย่างเด็ดขาด เนื่องจากโลกเป็นที่รวมแห่งความทุกข์ ความจริงเกี่ยวกับโลกย่อมดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ว่าความสามารถในการก้าวพ้นความจริงสมมติไปสู่ระดับปรมัตถ์ต้องอาศัยปัญญา หากต้องการเข้าสู่ความหลุดพ้นซึ่งเป็นความจริงปรมัตถ์ จำเป็นที่คนจะต้องละทิ้งหรือปล่อยวางความจริงสมมุติทุกอย่าง
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่า หากมองเพียงผิวเผิน ความเชื่อข้างต้นไม่ถือว่าผิดหลักพุทธศาสนา ภาพที่ได้จากความเข้าใจ ก็บอกชัดเจนว่าความจริงสองระดับแตกต่างกันแต่ความแตกต่างที่ดูเหมือนตรงข้ามกันนี้เราจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบ แม้ชาวพุทธทั่วไปจะเชื่อว่าความจริงสมมติไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงๆ เป็นเพียงนามหรือจินตนาการใช้อธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน กระนั้นความเข้าใจที่เกิดจากบัญญัติก็ย่อมเป็นความจริงในระดับสมมติเท่านั้น ถ้าสมมติแปลว่าไม่จริงต้องถูกปล่อยทิ้ง ความรู้ทุกอย่างของคนไม่เว้นแม้แต่เรื่องของความจริงปรมัตถ์ก็ย่อมไม่จริงต้องถูกปล่อยวางหมด[15]

ประเด็นที่ ๔ ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง สุมาลี มหณรงค์ชัยได้สรุปปัญหาที่เกิดกับความเข้าใจปรมัตถธรรมในพุทธศาสนาเกิดจากการยอมรับแก่นสาร (ที่เรียกว่า สวภาวะ) ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม การยอมรับแก่นสารไม่ว่าจะเป็นไปในเชิงยืนยันหรือปฏิเสธล้วนนำไปสู่ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ (ที่เรียกว่า ภาวะ/อภาวะ) ความโน้มเอียงไปสู่ขั้วใดขั้วหนึ่งในสี่มุม (จตุษโกฏิ) เป็นธรรมชาติของปุถุชน ผู้ยึดถือทัศนะตามขั้วใด ขั้วนั้นก็จะกลายเป็นหลักการและเป้าหมายสำหรับพวกเขา ซึ่งวิธีการหรือหนทางสู่เป้าหมายจะได้รับการพัฒนาต่อจากความเชื่อตรงนั้น กรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับคำสอนของลัทธินอกพุทธศาสนาเท่านั้น แม้ภายในกรอบของพุทธศาสนาเราเอง ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจนนำไปสู่การยึดถือทัศนะก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ข้อดีของคำสอนที่อิงอยู่กับความมีอยู่หรือความไม่มีอยู่คือเข้าใจหรือคิดตามได้ง่าย แต่ข้อเสียคือไม่เอื้อต่อการพ้นทุกข์ เพราะความพ้นทุกข์เป็นเรื่องของการปลดปล่อยพันธนาการทุกอย่าง และพันธนาการที่ซับซ้อนและน่ากลัวที่สุดอันหนึ่ง ก็คือความคิดที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของอะไรบางอย่างนี่เอง[16]
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เราเห็นว่า การจะอธิบายทางสายกลางไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงเป็นเรื่องยากมากๆ และต้องระมัดระวังการสื่อภาษาเป็นอย่างยิ่ง แม้ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่การสนับสนุนแก่นสารภาวะได้แล้ว ความมีกับความไม่มี ในพระสูตรเป็นประเด็นสำคัญที่นักคิดส่วนใหญ่พยายามทำความเข้าใจ ในบางแห่งทั้งคู่จะถูกอธิบายว่าหมายถึงทัศนะที่ยอมรับความที่ยงแท้ถาวร(สัสตทิฐิ)กับทัศนะว่าทุกอย่างสิ้นสูญ(อุจเฉททิฐิ) สัสตทิฐิคือความเห็นว่าโลกและอัตตาเที่ยงอุจเฉททิฐิคือความเห็นว่าตายแล้วขาดสูญไม่ยอมรับการเวียนว่ายตายเกิดจึงปฏิเสธหลักกรรม  พระอรรถกถาจารย์อธิบายเสริมว่าอุจเฉททิฐิเป็นแนวคิดเชิงวัตถุนิยมทำให้คนหมกมุ่นในกามสุข ทั้งสองความเห็นเป็นส่วนหนึ่งของทัศนะมากมายที่เผยแพร่อยู่ในสมัยพุทธกาล[17]

ประเด็นที่ ๕ อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ 
อดีตที่ผ่านมา นักปราชญ์และนักคิดจำนวนมากให้ความสนใจวิเคราะห์งานของท่านนาคารชุนะ โดยเฉพาะคัมภีร์มูลมัธยมกการิกาคำสอนของท่านมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อสำนักพุทธ (เน้นสายมหายาน) ส่วนใหญ่นับจากยุคของท่าน อรรถกถาธิบายคัมภีร์ของท่านก่อให้เกิดคณาจารย์มาธยมิกะผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ได้รับการยอมรับนับถือ มีชื่อเสียงแพร่หลาย และมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก อาทิ ภาววิเวกะ จันทรกีรติ ศานติเทวะ เรื่อยไปถึงศานตรักษิตะ และกมลศีละ ในประเทศจีนคำสอนของท่านก็ส่งอิทธิพลต่อการเกิดขึ้นของสำนักสัทธรรมปุณฑรีกะ อวตังสกะ และธยานะ คณาจารย์คนสำคัญๆ ของสำนักดังกล่าวต่างคุ้นเคยกับหลักการความว่างและทางสายกลางของท่านนาคารชุนะ คำสอนของท่านยากแต่ก็ท้าทายนักคิดทุกยุคสมัย
ผู้เขียนได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อท่านนาคารชุนะไว้ว่า บางครั้งผู้เขียนก็ฉงนใจไม่น้อยที่ข้อเขียนยากๆ ในอดีตจำนวนหนึ่งสามารถท้าทายกลุ่มคนที่มีศักยภาพให้ทุ่มเทชีวิตค้นหาความหมายของมัน ผลงานของคนๆ หนึ่งที่มีประวัติคลุมเครือแต่กลับจุดประกายความคิดและส่งต่อภูมิปัญญาให้กับคนรุ่นลูกหลานไม่รู้จักจบสิ้น ที่สำคัญคือบุคคลที่รับมอบคบไฟแห่งภูมิปัญญานั้น โดยมากจะเป็นปราชญ์และผู้เชี่ยวชาญในการใช้เหตุผลเป็นอย่างยิ่งด้วย หากแยกเรื่องความรู้สึกออกไปเหตุผลที่ทำให้ท่านนาคารชุนะได้รับความสำคัญอยู่ในอันดับต้นๆ เป็นเพราะคำสอนของท่านเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง ที่ผ่านมามีคนมองท่านต่างๆ นาน บ้างก็ว่าท่านเป็นพวกที่ปฏิเสธเหตุผลบ้าง เป็นนักบวชลึกลับที่มีคำสอนสูงส่งเกินเข้าใจบ้าง หาไม่ก็เป็นพวกที่เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแต่ตัวเองกลับไม่กล้าพอที่จะนำเสนอความคิดอะไรออกมา ข้อโต้แย้งเหล่านี้ได้รับการอธิบายเรื่อยมา ยิ่งพยายามปกป้องงานของท่านมากเท่าใดก็ยิ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันยิ่งวิพากษ์งานของท่านมากเท่าใดก็ยิ่งมีคนปกป้องมากขึ้นเท่านั้น[18]
สาระสำคัญภาคที่ ๓ เป็นการนำเสนอประวัติคณาจารย์คนสำคัญของสำนักมาธยมิกะ ในหนังสือพระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลางเล่มนี้ สุมาลี มหณรงค์ชัย ยังได้นำเสนอพัฒนาการของสำนักมาธมิกะออกเป็นสี่ช่วง ได้แก่
๑.      ยุคของท่านนาคารชุนะและศิษย์สายตรงคือท่านอารยเทวะ
๒.      ยุคของการแตกความคิดและเกิดสำนักย่อยที่นำโดยท่านภาววิเวกะ
๓.      ยุคของท่านจันทรกีรติ
๔.      ยุคของการผสานคำสอนมาธยมิกะเข้ากับโยคาจาระโดยท่านศานตรักษิตะและศิษย์
หากใช้บุคคลเป็นเกณฑ์ พัฒนาการของสำนักนี้จะดำเนินไปตามนี้ สำนัก(หรือสาขา) สองแห่งของมาธยมิกะคือสวาตันตริกะกับปราสังคิกะเกิดขึ้นในยุคที่สอง ถ้านับเป็นเวลาก็ราวสี่ร้อยปีภายหลังการจากไปของปฐมาจารย์ (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่หก) ความแตกต่างทางความคิดเกิดจากการตีความคำสอนของท่านนาคารชุนะไม่เหมือนกัน แต่โดยหลักการแล้วทั้งสองฝ่ายต่างเห็นด้วยในจุดยืนเดียวกันคือ ทุกสิ่งอิงอาศัยกันและกันมีอยู่จึงว่าง ความว่างบ่งถึงการไร้แก่นสาร(หรือที่เรียกว่าไม่มีสวภาวะ) สวภาวะเป็นเรื่องของความคิดที่หาไม่พบในประสบการณ์เมื่อสิ่งทั้งหลายว่าง ความจริงสองระดับย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระดับปรมัตถ์หยั่งเห็นสัจธรรมนี้ย่อมได้ชื่อว่ามีสัมมาทิฐิ หยั่งรู้ทางสายกลางตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในยุคที่ท่านนาคารชุนะประกาศคำสอนว่าด้วยทางสายกลางจุดหมายของท่านคือต้องการวิพากษ์หรือชี้ให้เห็นจุดบกพร่องของความเห็น(ทิฐิ) ที่มีอยู่ในเวลานั้น ต่อมาเมื่อนักปราชญ์ชาวพุทธได้อ่านงานของท่านแล้วยอมรับในหลักการ ความเป็นสำนักที่เรียกว่า “มาธยมิกะ” จึงตามมา ช่วงเวลาของแต่ละยุคห่างกันมากกว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนเพราะฉะนั้น ผู้เขียนยังได้เตือนว่า ผู้อ่านต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ลักษณะเด่นอันหนึ่งของคำสอนพุทธ (ซึ่งอาจจะรวมปรัชญาตะวันออกสายอื่นด้วย) อยู่ตรงที่ศาสดาและครูบาอาจารย์ทั้งหลายในยุคเริ่มแรก ท่านเหล่านั้นสั่งสอนโดยไม่ได้ประกาศความเป็นศาสนา (หรือสำนัก) ไม่ได้วางกรอบใดๆ ล่วงหน้าเพื่อชี้จุดยืนของตนเป็นเอกเทศจากผู้อื่น จุดร่วมต่างๆ เช่นศาสนา นิกาย ลัทธิ สำนัก ตลอดจนกลุ่มความเชื่อที่ก่อให้เกิดความแตกแยกเป็นเรื่องของศรัทธาในภายหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ที่อ้างถึงตรงนี้หมายถึงนักปราชญ์ผู้หยั่งรู้ในสัจธรรม มิใช่ผู้หวังลาภสักการะ ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้พิจารณาดูความน่าเชื่อถือของชาวพุทธที่ภายนอกได้รับยกย่องว่าเป็นครูบาอาจารย์ด้วย ในกรณีของสำนักมาธยมิกะ ผู้รู้ส่วนใหญ่เห็นว่าท่านนาคารชุนะประกาศคำสอนว่าด้วยทางสายกลางเรียกว่า “มัธยมกะ” ส่วนมาธยมิกะเป็นชื่อเรียกกลุ่มของชาวพุทธที่เห็นชอบตามหลักการของท่าน
นาคารชุนะ (นาคารชุน-Nâgârjuna)
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นาคารชุนะมีชีวิตอยู่ในราวคริสต์ศตวรรษที่สอง (ประมาณ ๑๕๐-๒๕๐ ปีหลังคริสตกาล) ท่านถือกำเนิดในตระกูลของพราหมณ์ที่เมืองวิทารภะ (ปัจจุบันเรียกว่า เพราระอยู่ในแคว้นมหาโกศละ)ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับพระเจ้า ยัชญศรี เคาตมีปุตระ หรือ โคตรมีปุตระ/โคตมีบุตร)แห่งราชวงศ์ อานธระ (ตำราของอาจารย์อภิชัยเขียนว่า ศาตวาหนะ) หลักฐานฝ่ายจีนกล่าวว่าท่านมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับพระเจ้ากนิษกะ และพระอัศวโฆษะ( Asvaghosa ) โดยท่านมีอายุน้อยกว่าพระอัศวโฆษะ พระอัศวโฆษะเป็นพระสหายใกล้ชิดกับพระเจ้ากนิษกะ และพระวสุมิตระ(Vasumitra )ซึ่งเป็นอาจารย์คนสำคัญของนิกายสรวาสติวาทะ

๓. ข้อวิจารณ์ 
            ผู้วิจารณ์มีข้อวิจารณ์  ๒ ข้อคือ ๑) รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา  และ ๒) การนำเสนอข้อมูลเนื้อหาในหนังสือ “นาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” ดังนี้
            ข้อ ๑) รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นด้านกลวิธีการเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาและการอภิปรายแต่ละประเด็นด้วยหลักตรรกะ ซึ่งมีการอ้างอิงหลักฐานสนับสนุนการอภิปราย เช่น ข้อความในหนังสือต้นฉบับ ทำให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ส่วนจุดที่ควรต้องปรับปรุงแก้ไขก็คือ การใช้ภาษาที่ค่อนข้างจะยากทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานความรู้มาก่อนไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้ ในด้านรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาผู้เขียนควรใช้ภาษาที่เรียบง่ายและไม่ควรที่จะเป็นวิชาการมากนักเพื่อดึงดูดผู้อ่านในระดับพื้นฐานซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลส่วนใหญ่ในสังคม จะทำให้หนังสือ “นาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” เล่มนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
            อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาวิธีการนำเสนอการเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางปรัชญาในหนังสือเล่มนี้ ผู้วิจารณ์เห็นว่า ผู้เขียนเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาของสำนักมาธยมิกะกับสำนักสางขยะของอินเดียโดยมิได้บิดเบือนสาระสำคัญของแต่ละทัศนะ จึงทำให้ข้อมูลมีเหตุมีผลและมีความน่าเชื่อถือ อันเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในการคิดและวิเคราะห์สาระของหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ดีการใช้กลวิธีเทียบเคียงเช่นนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งผู้เทียบเคียงจะต้องมีความเชี่ยวชาญในปรัชญาทั้งสองและต้องมีใจเป็นกลางในการเทียบเคียงในแต่ละประเด็น เพราะแนวคิดทั้งสองมีภูมิหลังทางวัฒนธรรมและภาษาต่างกัน สอดคล้องกับข้อความในหนังสือมนุษย์กับศาสนาของปรีชา ช้างขวัญยืนและสมภาร  พรมทา ว่า ความเหมาะสมของเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าเรากำลังใช้สิ่งนั้นกับอะไร ศาสนาแบบเชื่อถือพระเจ้าอาจเหมาะกับคนในสังคมหนึ่งซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตแบบหนึ่งในขณะที่ศาสนาแบบไม่เชื่อถือพระเจ้าก็อาจเหมาะสมกับคนในอีกสังคมหนึ่งที่มีปัญหาชีวิตที่แตกต่างไปจากผู้คนในสังคมที่นับถือศาสนาแบบเชื่อถือพระเจ้าศาสนาสองประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะที่ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกัน ทุกศาสนามีเหตุผลในการถือกำเนิดขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะของตนเอง[19]
            ปรีชา ช้างขวัญยืนและสมภาร  พรมทา ยังให้ข้อสังเกตในการใช้วิธีการเปรียบเทียบหลักทางปรัชญาของศาสนาไว้อีกว่า สิ่งแรกที่สุดที่เราควรเข้าใจก็คือ โดยธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นจะมีคำสอนจำนวนหนึ่งในทุกศาสนาที่ไม่สามารถตรวจสอบด้วยวิธีการแบบเดียวกับที่ใช้ในวิทยาศาสตร์กล่าวคือตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัสและคำสอนของศาสนาต่างๆ ที่ขัดแย้งกันก็มักจะได้แก่คำสอนส่วนที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้นี้เมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้เราก็ควรยอมรับว่าคำสอนที่ตรงกันข้ามเหล่านี้มีฐานะเท่าเทียมกันในแง่ที่ต่างก็ไม่สามารถพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนเชื่อจริง มองจากแง่นี้ เนื้อหาของศาสนาที่ตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันเหล่านี้ย่อมมีฐานะเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น[20]
            ข้อที่ ๒) การนำเสนอข้อมูลและเนื้อหาในหนังสือ“นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง”สุมาลี มหณรงค์ชัยนำเสนอข้อมูลประเด็นปัญหาทางปรัชญาโดยการนำหลักพุทธธรรมของสรวาสติวาทะสำนักเสาตันตริกวาทะ และโลโกตตระวาทะบางหลักมาวิเคราะห์ทางปรัชญา และใช้วิธีเทียบเคียงทัศนะของสำนักสางขยะของฮินดู[21] เพื่อชี้ให้เห็นทรรศนะที่มีความแตกต่างกันของแต่ละสำนักซึ่งในที่สุดก็สามารถจัดลงในจุตษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้นดังนั้นความคิดใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนภาวะมูลฐานหรือแกนสารสาระ ความคิดนั้นไปไมไดกับเรื่องของเหตุและผล รวมทั้งผูที่ยอมรับความคิดเหลานั้นก็ถือไดวา ไมเขาใจหลัก ความจริงที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอน ดังมีปรากฏในมูลมาธยมิกการิกาเขียนไววา การเกิดขึ้นของภาวะแกนสาร (selfnature) โดยผานเหตุและปจจัย เปนสิ่งที่เปนไปไมได (ไมเหมาะสม) ภาวะแกนสารที่เกิดขึ้นในฐานะเปน ผลลัพธ์ของเหตุและจจัย จะเปนบางสิ่งที่ถูกสรางขึ้น...ใครก็ตามที่หยั่งเห็นภาวะแกนสารในตัวเองหรือสิ่งอื่น ยอมรับภาวะของการมีอยูหรือไมมีอยู เขาผูนั้นหยั่งไมเห็นความจริงในคําสอนของพระพุทธองค[22]  ในด้านเนื้อหาผู้วิจารณ์ประสงค์จะแสดงความคิดเห็นมีด้วยกัน ๓ ประเด็นคือ ๑) ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ  ๒) หลักทางสายกลางในคัมภีร์มาธยมิกะศาสตร์[23] และ๓) ประวัติท่านนาคารชุนะ ซึ่งเป็นเนื้อหาในส่วนสำคัญ ดังนี้
            ประเด็นที่ ๑) ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะผู้วิจารณ์มีความคิดเห็นว่า การนำเสนอมูลเหตุและอิทธิพลที่ก่อให้เกิดคำสอนมาธยมิกะตามที่ผู้เขียนกล่าวไว้นั้นยังขาดข้อมูลที่จำเป็นบางอย่าง เช่น ประวัติของนิกายตรีศาสตร์ ซึ่งนิกายนี้อาศัยศาสตร์ ๓ ปกรณ์ คือ มาธยมิกศาสตร์ ศตศาสตร์ และทวาทศนิกายศาสตร์รวมกันเป็นชื่อของนิกาย โดยมีท่านนาคารชุนเป็นปฐมาจารย์แห่งนิกายนี้ ท่านเป็นผู้ตั้งทฤษฎีศูนยตวาทิน อรรถาธิบายหลักปัจจยาการและอนัตตาของพระพุทธองค์โดยวิธีใหม่ คัมภีร์ที่ท่านรจนามีเป็นจำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ มาธยมิกศาสตร์ นอกจากประกาศแนวทฤษฎีศูนยตาแล้ว ยังได้วิพากษ์นานามติของประดานิกายในพระพุทธศาสนาและมติของปรัชญาฮินดูและเชนได้ด้วย[24] เช่น ความเชื่อในศาสนาฮินดูเรื่องพหุเทวนิยม เกี่ยวผู้สร้าง ผู้รักษา ผู้ทำลาย  โดยเทพเจ้าต่างๆมากมายเช่นพระพรหม  พระศิวะ  พระวิษณุเป็นต้น ซึ่งมีมานานก่อนมีนาคารชุน  สามารถย้อนไปถึงศาสนาพราหมณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนพุทธศาสนาอีก  นอกจากนี้ยังมีความเชื่อตามปรัชญาอณูพหุนิยม(Atomic Pluralism) ในปรัชญานยายะที่ถือว่า อณูของดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นมูลเหตุของโลกและสรรพสิ่งในโลก  ทัศนะต่างๆเหล่านี้ทำให้นาคารชุนเสนอแนวคิดเรื่องปฏิจจสมุปบาท เพื่ออธิบายการเกิดดับของสิ่งทั้งหลาย  และใช้ศูนยตาเป็นตัวเดินเรื่องพร้อมขยายความด้วยระบบตรรกะ  เมื่อนาคารชุนใช้ศูนยตาในการอธิบายและตอบโต้กับลัทธิต่างๆ  แน่นอนว่าย่อมมีการตีความศูนยตาไปต่างๆนานา  ดังนั้นปิงคลเนตร  จึงกล่าวต่อไปว่าเพื่อไม่ให้ศูนยตาธรรมเกิดความคลาดเคลื่อนไปโดยประการต่างๆ จึงรจนาคัมภีร์มาธยมิกศาสตร์ขึ้นมา อรรถกถาของศาสตร์นี้มีผู้แต่งกันไว้มาก ฉบับที่แปลสู่พากษ์จีนมี ๒ ฉบับเป็นของนีลเนตรและของภาววิเวก ส่วนคัมภีร์ศตศาสตร์นั้นเป็นของอาจารย์เทวะ เป็นหนังสือวิพากษ์ปรัชญาฮินดูทั้งเวทานตะ สางขยะ ไวเศษิกะ นยายะ โยคะ และเชน ไว้อย่างถึงพริกถึงขิง เผยให้เห็นความเลิศเด่นของพระพุทธธรรม[25]
            อย่างไรก็ตามผู้วิจารณ์ไม่พบว่าผู้เขียนได้กล่าวถึงความเสื่อมของแนวคิดศูนยตวาทินในยุคราชวงค์ถัง เมื่อท่านปิฎกธราจารย์เฮียงจัง ประกาศปรัชญาวิชญาณวาทินอยู่ เลยทำให้รัศมีฝ่ายศูนยตวาทินอับลงตราบเท่าทุกวันนี้[26]
            ประเด็นที่ ๒) ปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ ผู้วิจารณ์เห็นว่า ผู้เขียนนอกจากจะยกเอาทัศนะของสำนักต่างๆ เช่น สำนักสรวาสติวาทะ สำนักเสาตันตริกะ สำนักโลโกตตระภาวะ และสำนักสางขยะ มาเขียนอธิบายไว้แล้วยังได้วิเคราะห์ให้เห็นปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ เอาไว้ด้วย ซึ่งแต่ละสำนักก็มักจะมีการยืนยันแก่นสารภาวะและมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นหลายประการ ปัญหาเหล่านี้ซึ่งผู้เขียนมีการอธิบายเอาไว้ในตอนของหลักธรรมสำคัญของสำนักมาธมิกะเพื่อแก้ไขทิฐิที่ผิดพลาดเหล่านั้น สุมาลี  มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นหลักคำสอนสำคัญๆ ของพระนาคารชุนะไว้พิจารณาคือ วิภาษวิธี การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง ความจริงสองระดับกับความว่าง ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง ซึ่งในแต่ละประเด็นก็ได้รับการอธิบายชี้แจงและเสนอแนะทางออกให้กับปัญหาเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
            ประเด็นที่ ๓) เรื่องประวัติของท่านนาคารชุนะ ที่ผู้เขียนได้นำเสนอในหนังสือยังไม่สามารถยอมรับได้ว่าถูกต้อง เพราะยังมีอีกหลายทัศนะที่กล่าวถึงประวัติของท่านไม่เหมือนกัน ดังเช่น
            ประวัติของท่านนาคารชุนในบันทึกกุมารชีพ (ค.ศ. 344-413) ได้กล่าวไว้ว่า ชีวิตในวัยเยาว์ ท่านนาคารชุนเป็นชาวอินเดียใต้เกิดในสกุลพราหมณ์  มีความจำเป็นเลิศ  จดจำสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว  แตกฉานในศาสตร์หลายสาขา เช่น ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์เป็นต้น ส่วนสาเหตุการบวช  เกิดจากการนำวิชาอาคมไปใช้ในทางที่ผิด ละเมิดสนมนางใน ถูกพระราชารับสั่งไล่ฆ่า จนเพื่อนเสียชีวิตไป ๓ คน ส่วนท่านรอดชีวิตเพราะยืนแอบอยู่ด้านหลังพระราชา และตั้งจิตอธิษฐานออกบวชเพราะเห็นภัยในกามโลกีย์ ชีวิตหลังบวช ท่านได้ออกบวชที่เจดีย์กลางเขาแห่งหนึ่ง ศึกษาพระไตรปิฎกในนิกายสรวาสติวาทแตกฉานภายใน 3 เดือน (ในอินเดียเหนือ)  ภายหลังได้ศึกษาพระสูตรฝ่ายมหายานกับภิกษุชราภาพรูปหนึ่ง  แต่ไม่ปรากฏเนื้อหาที่ชัดเจนว่าศึกษาเรื่องอะไรในพระสูตรมหายาน  ท่านเป็นนักโต้วาที  เดินทางท่องเที่ยวโต้วาทะกับนักปรัชญาต่างๆ ชนะไปทั่วอินเดีย ภายหลังถูกกล่าวหาว่ามิใช่สัพพัญญูเพราะเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า การเป็นศิษย์คือการถามสิ่งที่ยังไม่รู้ จึงได้สถาปนาตนเป็นอาจารย์ เปลี่ยนจีวร  เปลี่ยนวินัยใหม่ และให้ศิษย์ทำตามด้วย ลงสู่นาคมณเฑียร  บันทึกตอนนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ระบุว่านาคได้นำท่านสู่นาคมณเฑียร  เปิดคลังแก้วมณีและหนังสือต่างๆให้ท่านอ่าน  ภายหลังกลับคืนสู่อินเดียใต้เผยแผ่คำสอนมหายานไปทั่วอินเดีย ชื่อเรียก “นาคารชุน”  แม่ท่านให้กำเนิดท่านที่ต้นไม้ชื่อ “อรชุน” และ “นาค” นำท่านไปพบความสำเร็จ จึงได้นามว่า “นาคารชุน”
            นาคารชุนในบันทึก เสวียนจั้ง  ค.ศ. 602-664 ความสามารถด้านการแพทย์  ท่านนาคารชุนเชี่ยวชาญในการปรุงยาอายุวัฒนะ  มีอายุยืนยาวร่วมกับพระเจ้าสาตวาหะ  จนเป็นเหตุให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ไม่ได้
            นอกจากนี้ยังมีประวัติของนาคารชุนในบันทึกปูสตัน (ค.ศ.1290-1364) ที่เห็นไม่เหมือนกันว่า ชีวิตวัยเยาว์ บิดามารดาทำยัญพิธีขอบุตร ต่อมาได้รับคำทำนายว่าท่านมีชีวิตอยู่ได้เพียง ๗ วัน  ๗ เดือน และ ๗ ปี ตามลำดับ จนในที่สุดได้ออกบวชเป็นสามเณรที่วัดนาลันทา จึงรอดพ้นจากความตาย ส่วนชีวิตหลังบวชของท่านนาคารชุน ท่านได้ไปศึกษากับอาจารย์สรหะและอุปสมบทเป็นภิกษุชื่อศรีมาน มีท่านราหุลภัทรเป็นพระอุปัชฌาย์  ต่อมาใช้วิชาเสกทองคำเป็นค่าภัตตาหารในช่วงทุพภิกขภัย ถูกลงโทษโดยให้ไปบูรณปฏิสังขรณ์อาราม  สร้างเจดีย์  ประเด็นมรณภาพของท่านก็เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมือง โดยพระราชโอรสได้รับคำแนะนำจากพระราชมารดาให้ไปขอประทานศีรษะนาคารชุน เพื่อบริจาคเป็นทานมุ่งสำเร็จในพุทธผล ท่านได้ทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการใช้หญ้าคาเชือดคอ มอบศีรษะให้พระราชกุมาร เมื่อท่านมรณภาพ พระราชบิดาก็สิ้นพระชนม์ด้วย
            ส่วนที่มาของชื่อนาคารชุนะ มีสองนัยคือ สร้างเจดีย์สำเร็จได้เพราะการช่วยเหลือของนาค จึงได้ชื่อว่าอรชุน อีกประการหนึ่ง นาคะ หมายถึงการกำเนิดในโลกแห่งธรรม ไม่สุดโต่ง (ในสัสสตะและอุทเฉทะ) ทำลายมิจฉาทิฐิได้  มีความสำเร็จในการปกครอง อารักขาและบริหารประเทศแห่งพระสัทธรรม จึงได้ชื่อว่า “นาคารชุน” ประเด็นมรณภาพ อันนี้มาจากปัญหาการเมืองเช่นเดียวกับบันทึกเสวียนจั้ง แต่มีต่างกันที่พระโอรสนามว่าศักติมานเป็นผู้ใช้หญ้าคาลงมือสังหาร
            ผู้วิจารณ์เห็นว่าในประเด็นต่างๆเหล่านี้ผู้เขียนควรที่จะค้นคว้าและนำมาเขียนเพิ่มเติมเอาไว้ด้วยเพราะมีความสำคัญพอๆกับหลักทางสายกลางของท่าน เพราะหากประวัติของท่านนาคารชุนะยังคลุมเครือ การที่ผู้เขียนใช้ชื่อหนังสือว่า นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามไปด้วย แม้ในส่วนของหลักธรรมสำคัญต่างๆ จะได้รับการอธิบายอย่างละเอียดแล้วก็ตาม

๔. สรุปและคำแนะนำ
             กล่าวโดยสรุป  หนังสือ “นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” เล่มนี้ สุมาลี  มหณรงค์ชัย นำเสนอเนื้อหาโดยการเปรียบเทียบประเด็นปัญหาทางปรัชญากับทัศนะสุดโต่งทั้งสองสาย แบ่งเนื้อหาเป็น ๒ ส่วนคือ ภาคที่ ๑ สภาพแวดล้อมและหลักคำสอนในยุคก่อนกำเนิดสำนักมาธยมิกะ และภาคที่ ๒ หลักคำสอนสำคัญๆ ของพระนาคารชุนะ แบ่งเป็น ๕ ประเด็นคือ (๑) วิภาษวิธี (๒) การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง (๓) ความจริงสองระดับกับความว่าง (๔) ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง และ (๕) อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจแนวคิดของพุทธศาสนาชัดเจนขึ้น หนังสือเล่มนี้ จึงมีคุณค่าต่อการศึกษาประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาสำหรับนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจในพุทธปรัชญาและปรัชญามาธยมิกะของท่านนาคารชุนะ เพราะเนื้อหาในหนังสือให้ทั้งแง่คิด มุมมอง และสาระที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปขบคิดและวิเคราะห์
             ทั้งนี้ผู้วิจารณ์ได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ๓ ประเด็นคือ ๑)ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ ๒) ปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ และ ๓) ประวัติของท่านนาคารชุนะ เพราะผู้วิจารณ์เห็นว่า ในประเด็นต่างๆนี้ควรจะได้รับการขยายความ และเพิ่มเติมเนื้อหาให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยเฉพาะประวัติของท่านนาคารชุนะที่ต้องอ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และทัศนะของนักวิชาการทางพุทธศาสนา ผู้วิจารณ์เห็นด้วยกับผู้เขียนที่กล่าวว่า การจะอธิบายหลักการของพระนาคารชุนะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องระมัดระวังเรื่องแก่นสารภาวะที่ท่านปฏิเสธเป็นอย่างมาก โดยชี้ให้เห็นว่าทัศนะของบุคคลและกลุ่มชนในระดับโลกิยะทั้งหมดล้วนสนับสนุนแก่นสาร (สวภาวะ) บางอย่างที่สามารถจัดลงในจตุษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้น ทำให้ไม่มีทัศนะใดเป็นที่ยอมรับหรือเรียกได้ว่าถูกต้อง การตีความหลักการของพระนาคารชุนะก่อให้เกิดกระแสต่างๆ ที่เป็นทั้งความขัดแย้งและปัญญาญาณในเวลาเดียวกัน ความสั้นและห้วนของข้อเขียนในอดีตอาจโต้แย้งได้ง่าย หลายคนมองว่าเราไม่สามารถศึกษาคำสอนของพระนาคารชุนะได้โดยไม่ใส่ความเห็นส่วนตัว ซึ่งนั่นก็ถูกในด้านหนึ่ง แต่ความน่าสนใจในงานของท่าน อยู่ตรงที่เราไม่สามารถยึดถือแม้บทสรุปของเราเองในท้ายที่สุด ตรงนี้ถือเป็นหัวใจของความว่างและหลักการสายกลาง หลักที่ถ้าใครหยั่งถึงแล้วความโน้มเอียงไปในทัศนะต่างๆ จะสิ้นสุดลง อคติทางความคิดและเหตุผลจะถูกปล่อยวาง อีกทั้งการแสวงหาทางสายใหม่ก็จะยุติลงด้วย
             หนังสือ “นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง บทสรุปของหลักการแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และเบิกบานอย่างแท้จริง” เล่มนี้ จึงมีความเหมาะสมสำหรับคณาจารย์ นิสิตนักศึกษาด้านปรัชญาที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ ที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้ได้แสดงให้เห็นหลักตรรกวิทยาที่ปรากฏในเรื่องวิภาษวิธี ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้มุมมองเชิงปรัชญา อันจะทำให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจหลักคิดและประเด็นปัญหาทางปรัชญา เพื่อต่อยอดความสนใจนั้นไปสู่การวิเคราะห์วิจารณ์ปัญหาเฉพาะเรื่องได้มากยิ่งขึ้น
             นอกจากนี้ หากนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปประสงค์จะเข้าใจประเด็นปัญหาแต่ละส่วนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ควรทำความเข้าใจหลักการของสำนักมาธยมิกะโดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก มูลมัธยมกการิกาซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของสำนักมัธยมิกะซึ่งเค้าโครงเนื้อหาของคัมภีร์มูลมัธยมกการิกาในภาพรวมทั้งหมด ๒๗ บท ดาวิด เจ. กะลุปะหานะ (David J. Kalupahana)ได้รวบรวมเอาไว้อย่างละเอียด  รวมถึงสำนักภายในพระพุทธศาสนา เช่นสรวาสติวาทะ สำนักเสาตันตริกะ สำนักโลโกตรภาวะและสำนักในปรัชญาอินเดีย เช่น สางขยะ และ สำนักนยายะ และสำนักปรัชญาอินเดียร่วมสมัยอื่นๆ ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือปวงปรัชญาอินเดียของ ฟื้น ดอกบัว สำหรับการทำความเข้าใจหลักธรรมของพุทธศาสนามหายาน ควรอ่านงานของ เสถียร โพธินันทะ เรื่อง “พุทธปรัชญามหายาน” “กำเนิดและพัฒนาการของปรัชญามหายาน”พระศรีคัมภีรญาณ เรื่อง“พุทธปรัชญา” เพื่อเปิดมุมมองของการศึกษาและทำความเข้าใจประเด็นปัญหาเชิงปรัชญาให้มากขึ้น อันจะนำไปสู่ความเจริญทางสติปัญญา และเป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเอง และสังคมประเทศชาติต่อไป.



**************


บรรณานุกรม


มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.พระไตรปิฏกภาษาไทย, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
             ราชวิทยาลัย,๒๕๓๙.
ปรีชา ช้างขวัญยืน สมภาร พรมทา,มนุษย์กับศาสนา,พิมพ์ครั้งที่๔.กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.๒๕๔๒.
ประเวศ  อินทองปาน.พุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก.พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.๒๕๕๓.
ฟื้น  ดอกบัว,ปวงปรัชญาอินเดีย.พิมพ์ครั้งที่ ๒ .กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๕๕.
สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,กรุงเทพมหานคร: ศยาม.๒๕๔๘.
สมภาร พรมทา,พุทธศาสนามหายาน: นิกายหลัก.กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.๒๕๔๐.
เสถียร  โพธินันทะ,ปรัชญามหายาน พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์บรรณาคาร. ๒๕๒๒.

Kalupahana, David J. (1999) Mûlamadhyamakakârikâ of Nâgârjuna. Delhi: Motilal Banarsidass.
                     .(1996) Nâgârjuna : The Philosophy of the Middle Way. Albany : State University of New York Press.
Ramanan,K.V. (1987) Nâgârjuna’s Philosophy. Delhi,Motilal Banarsidass,
Singh, J.(1978) An Introduction to Madhyamaka Philosophy.Delhi,Motilal Banarsidass,




[1] นิสิตปริญญาเอก สาขาวิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
[2] รศ.ดร.สุมาลี  มหณรงค์ชัย ปัจจุบันท่านเป็นหัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะศิลปะศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการด้านปรัชญาและศาสนาไว้จำนวนมาก
[3] สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,กรุงเทพมหานคร: ศยาม.๒๕๔๘.หน้า๓-๔.
[4] ดูรายละเอียดใน.ประเวศ  อินทองปาน.พุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก.พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.๒๕๕๓.หน้า ๕๙-๙๘.
[5] ดูรายละเอียดใน,พรหมชาลสูตร,ที.สี. ๙/๑-๑๔๙/๑-๔๗.
[6] สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,หน้า๗.
[7] ดูรายละเอียดใน.มหาปรินิพพานสูตร, ที.ม. ๑๐/๒๑๖/๑๖๔.
[8] “สางขยะ เป็นลัทธิที่เชื่อกันว่ามีมานานแล้วก่อนพุทธกาล เป็นลัทธิปรัชญาที่มีอายุเก่าแก่กว่าสำนักปรัชญาฮินดูทั้งหลาย หรือลัทธิทั้ง ๖ ซึ่งก็มี มีมางสา เวทานตะ สางขยะ โยคะ นยายะ และไวเศษิกะ ที่ว่าลัทธิสางขยะมีมาก่อนพุทธกาล ก็ดังที่เจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชแสวงหาโมกขธรรมอยู่นั้น ได้เคยเสด็จไปศึกษาในสำนักท่านอาฬารดาบสและอุทกดาบส ซึ่งเป็นคณาจารย์ในลัทธิสาขยะ”, สุนทร ณ รังสี,ปรัชญาอินเดีย: ประวัติและลัทธิ, (พระนคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทาลัย, ๒๕๓๗.หน้า ๒๑๐. อ้างใน,ฟื้น  ดอกบัว,ปวงปรัชญาอินเดีย.พิมพ์ครั้งที่ ๒ .กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๕๕.หน้า ๒๑๓.
[9] ดูรายละเอียดใน.Ramanan,K.V. (1987) Nâgârjuna’s Philosophy. Delhi,Motilal Banarsidass, pp. 53-69. อ้างใน.สุมาลี มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง.หน้า.๑๗-๑๘.
[10] สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,หน้า ๑๘.
[11] Singh, J.(1978) An Introduction to Madhyamaka Philosophy.Delhi,Motilal Banarsidass, p, 16.
[12] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๑๑๐.
[13] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๑๑๒.
[14] สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,หน้า ๑๔๑.
[15] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๑๗๙-๑๘๐.
[16] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๒๑๐.
[17] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๒๑๖.
[18] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๒๓๒.
[19] ปรีชา ช้างขวัญยืน สมภาร พรมทา,มนุษย์กับศาสนา,พิมพ์ครั้งที่๔.กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.๒๕๔๒.หน้า ๒๑๖.
[20] เรื่องเดียวกัน,หน้า ๒๑๗.
[21] ดูรายละเอียดใน.ฟื้น  ดอกบัว,ปวงปรัชญาอินเดีย.พิมพ์ครั้งที่ ๒ .หน้า ๒๑๓-๒๓๗.
[22] ดูรายละเอียดใน.Kalupahana, D.J., (1996) Nâgârjuna : The Philosophy of the Middle Way. Albany : State University of New York Press. pp. 228-234.
[23] ดูรายละเอียดใน. Kalupahana, David J. (1999) Mûlamadhyamakakârikâ of Nâgârjuna. Delhi: Motilal Banarsidass.pp.21-31.
[24] เสถียร  โพธินันทะ,ปรัชญามหายาน พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์บรรณาคาร. ๒๕๒๒.หน้า ๗๑-๗๒.
[25] อ้างแล้ว.
[26] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๗๓.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์เชิงปรัชญา พระอัครสาวก

  พระธาตุพนม บรมเจดีย์                                                                                                                      ...