วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ศาสนาแห่งเสรีภาพในปรัชญายุคหลังสมัยใหม่ (Freedom Religion in Postmodern Philosophy)




ศาสนาแห่งเสรีภาพในปรัชญายุคหลังสมัยใหม่
Freedom Religion in Postmodern Philosophy

พระอดิเรก  อาทิจฺจพโล
นิสิตปริญญาเอก สาขาปรัชญา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

          จากการศึกษาค้นคว้าและแลกเปลี่ยนมุมมองความรู้ในปรัชญายุคหลังสมัยใหม่ ข้าพเจ้าพบว่า ปรัชญายุคหลังสมัยใหม่มีหลักการ และทฤษฎี ที่เน้นอิสรเสรีภาพของมนุษย์เป็นสำคัญ   แต่มนุษย์ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น มนุษย์ไม่สามารถเข้าถึงความจริงได้โดยตรง มนุษย์เข้าถึงความจริงได้ผ่านภาษา ดังนั้นโพสต์โมเดิร์นจึงไม่เชื่อว่า มีความจริงเพียงหนึ่งเดียว แต่เห็นว่าความจริงอาจมีได้หลายมุม
          หลักที่สำคัญที่น่าจะเป็นหลักใหญ่ที่สุดของแนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์นคือ การที่โพสต์โมเดิร์น ปฏิเสธอำนาจของกรอบระเบียบโครงสร้าง และรูปแบบจารีตประเพณีเดิมที่ยึดถือปฏิบัติตามๆ กันมา  โดยสรุปแล้วนักปรัชญาในยุคหลังสมัยใหม่ จะมีแนวคิดที่ประกอบไปด้วย ๕ แนวทาง  ดังต่อไปนี้
               .      Resisting Grandnaratives.  การปฏิเสธอภิมหาเรื่องเล่า
               .      Attacking Science            การต่อต้านวิทยาศาสตร์
               .      Deconstruction               การรื้อสร้าง
               .      Language Game              เกมส์ภาษา
               .      Rewriting History.            การเขียนประวัติศาสตร์ใหม่
แนวทางทั้ง ๕ ประการนี้มักจะมีอยู่ในแนวคิดของนักปรัชญายุคโพสต์โมเดิร์นทุกคน ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น  ฟูโกและการวิจารณ์เกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่ของเขา ,Lyotard และการเล่นเกมโพสท์โมเดิร์น,  อลาสแดร์ แม็คอินไทร์ กับแนวคิดประเพณีและการฟื้นคืนของจริยศาสตร์เชิงคุณธรรม ยังมีนักปรัชญาอีกหลายคนที่เป็นตัวแทนของแนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์นที่สำคัญ เช่น อัลแบร์ การ์มูส์, รอว์ที, ฯลฯ
ขอยกตัวอย่างที่สามารถนำแนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์นไปอธิบายปรากฎการณ์ของพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบันเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น พอสังเขป ดังต่อไปนี้
“เรื่องมีอยู่ว่า วัดทุกวัดในประเทศไทยปัจจุบัน จะมีบุคคลหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้อง อันดับแรกก็เป็นมหาเถรสมาคม เจ้าคณะหนฯ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เลขาเจ้าอาวาส และพระลูกวัด สามเณร การแบ่งระบบนี้เป็นไปตามกฎหมายคณะสงฆ์ ที่ออกมาบังคับใช้กับวัดทุกวัดทั่วประเทศ เพื่อประโยชน์ในการปกครองดูแลวัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย อำนาจสูงสุดอยู่ที่ มหาเถรสมาคม ไล่ลงมาตามลำดับ รั้งท้ายสุดคือ พระลูกวัดและสามเณร เมื่อถือตามรูปแบบนี้ คำสั่งต่างๆ มักจะมาจากข้างบน สั่งลงมาข้างล่าง  โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการถามความเห็นหรือการลงมติแต่อย่างใด ผู้ได้รับตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้คือผู้ได้รับสิทธิและอำนาจทั้งหมดในการปกครอง นั้นสามารถสั่งให้ใครอยู่หรือออกจากวัดได้ในทันที  แม้จะมีพรรษามากก็ตาม
  แนวคิดสมัยใหม่บอกเราว่า ให้เราทำตามกฎเกณฑ์ ระเบียบ โครงสร้างที่ผู้มีอำนาจไตร่ตรองว่าดีแล้ว และเราก็ต้องเห็นว่ามันดีงามด้วย แต่มีหลายครั้งที่ระบบดังกล่าวสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรามากยิ่งขึ้น  ในอดีตพระสงฆ์จะเคารพกันตามอายุพรรษา ซึ่งก็ถือเป็นประเพณีสืบทอดต่อๆ กันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรม แต่เมื่อเมื่อมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ออกมาใช้วิถีทางเหล่านั้นก็เปลี่ยนไป กลายเป็นต้องทำตามระบบโครงสร้างการบริหารงาน ที่ถูกกำหนดขึ้นโดยกฎหมาย โดยมีมหาเถรสมาคมเป็นผู้บริหารคณะสงฆ์ ใช้อำนาจต่างๆ ออกกฎหมายเพื่อมาบังคับใช้กับพระสงฆ์ทุกรูป โดยส่งผ่านอำนาจนั้นจากบนลงล่าง ท้ายที่สุดบุคคลที่ไม่เคยได้ออกเสียง ไม่เคยได้ให้ความยินยอม และต้องถือปฏิบัติตามเพียงอย่างเดียวคือ พระลูกวัด หรือสามเณร ที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ แม้จะมีพรรษามากก็ไม่มีข้อยกเว้น
พวกเรากำลังถูกระบบบริหารงานที่ผิดพลาดอันนี้ ชี้ทางให้เดินไปสู่หายนะ เรามีมหาเถรสมาคม มีสำนักงานพระพุทธศาสนา มีมหาวิทยาลัยสงฆ์ และการศึกษาของพระสงฆ์อีกมากมาย แต่ทำไมมีแต่ข่าวโจมตีพระสงฆ์ มีข่าวเงินทอนวัด มีข่าวพระเสพกามมั่วสีกา มีข่าวเณรประพฤติผิดพระธรรมวินัย  ระบบที่ดีที่ออกโดยกฎหมายคณะสงฆ์ทำไมแก้ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้  ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังเป็นเหตุให้เกิดระบบชนชั้นวรรณะขึ้นในคณะสงฆ์ มีสมเด็จฯ ,มีพระพรหม, พระธรรม,พระเทพฯ,พระราชาคณะหลายระดับจนจำไม่ไหว 
จะเห็นได้ว่าสุดท้ายแล้วเราควรแก้ไขการใช้กฎหมายคณะสงฆ์ใหม่หรือไม่ จากนั้นรื้อสร้าง (Deconstruction) ระบบที่มีคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนากันใหม่  เรามีกฎหมายคณะสงฆ์ แต่ทำไมถึงมีพระปลอม พระตุ๊ด พระเสพกาม พระมั่วสุรายาเมา ฯลฯเต็มไปหมด  เรามีคณะมหาเถรสมาคม แต่พระพุทธศาสนากลับอ่อนแอ  เรื่องเหล่านี้มันเกิดจากระบบที่เราคิดว่า “ดีที่สุด”แล้วหรือ  พระธรรมดาเป็นใครในสังคมแบบชนชั้น. พระธรรมดาอยู่จุดไหนของระบบกฎหมายคณะสงฆ์ ซึ่งไม่มีแม้แต่มาตราเดียวที่กล่าวถึงสิทธิเสรีภาพของพระภิกษุธรรมดาๆ เอาไว้ เขาเหล่านั้นกลายเป็นบุคคลผู้มีตัวตนแต่ถูกทำให้ไม่มีตัวตนและจะมีตัวตนได้ก็แต่ในความคิด เวลาที่ลุกขึ้นมาพูด เวลาที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อพระพุทธศาสนา หรือเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพ 
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเสรีภาพ ภราดรภาพ พระพุทธเจ้าเป็นบุรุษที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ เป็นมหาบุรุษผู้ยึดมั่นในแนวทางแห่งคุณความดี เป็นต้นแบบของผู้ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ระบบที่กำลังนำพาเราอยู่นี้มันทำให้เราเห็นแต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธไม่เข้าไปข้องเกี่ยว เพราะมันจะทำให้เสรีภาพของเราลดลง ภราดรภาพของเราถูกขัดขวาง คุณความดีกลายเป็นธุรกิจ และความเมตตาที่แท้จริงกลายเป็น ความไม่จริงใจ ระบบที่ข้าพเจ้าว่านี้หยั่งรากลึกลงไปในวิถีชีวิตของเรา กัดกร่อนเราให้อ่อนแอลงทุกวันเหมือนมะเร็งร้าย หากเราไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้แล้วรื้อสร้างและการเขียนประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาใหม่ ในไม่ช้าพระพุทธศาสนาอาจไม่เหลืออยู่บนแผ่นดินไทยของเราอีกต่อไป

     ท้ายที่สุดแม้ข้าพเจ้าจะปฏิเสธหลักการใหญ่ ๆ ของกฎหมายคณะสงฆ์แบบเดิม ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธกฎหมาย แต่ปฏิเสธการยกเอากฎหมายขึ้นมาเป็นบรรทัดฐานเดียวแบบอำนาจเผด็จการต่างหาก   ตรงกันข้ามข้าพเจ้ากลับคิดว่า เราจะใช้ชีวิตยังไงก็ต้องใช้กฎหมาย เพราะคนเราหากไม่มีกฏหมายมันก็อยู่ไม่ได้ แต่อย่ามาเอากฎหมายมาอ้างเพียงเท่านั้น ควรคำนึงถึงทุกบริบทที่เกี่ยวข้องด้วยข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิเสธกฎหมายคณะสงฆ์ไปเสียทุกเรื่อง แต่ชี้ให้เห็นว่า กฎหมายคณะสงฆ์มีช่องโหว่และกำลังนำพาเราไปสู่หายนะ  ข้าพเจ้าไม่ได้เสนอให้โละกฎหมายคณะสงฆ์ทิ้ง เพียงแต่ว่าควรมีการรื้อสร้างการใช้กฎหมายกันใหม่ และต้องทำด้วยความระมัดระวัง ต้องคำนึงบริบทและปัจจัยเฉพาะที่มาเกี่ยวข้องในทุกส่วนของคณะสงฆ์ไม่ใช่หลงลืมใครบางคนไป  ข้าพเจ้าต้องการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากฎหมายคณะสงฆ์ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จในตัวของมันเอง.  


  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์เชิงปรัชญา พระอัครสาวก

  พระธาตุพนม บรมเจดีย์                                                                                                                      ...