บทวิจารณ์หนังสือ
เรื่อง “พระนาคารชุนะ
กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง”
เขียนโดย
สุมาลี มหณรงค์ชัย
ผู้วิจารณ์
:
พระอดิเรก อาทิจฺจพโล (โลกะนัง)
๑. บทนำ
หนังสือเรื่อง
“พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” เขียนโดย รศ.ดร.สุมาลี มหณรงค์ชัย
เล่มนี้เป็นหนังสือที่ได้รับทุนสนับสนุนการเขียนตำราจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประจำปี ๒๕๔๗ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่โรงพิมพ์สำนักพิมพ์ศยาม
เพื่อนำเสนอมุมมองว่า ความว่าง ทางสายกลาง และการอิงอาศัยกันมีอยู่ของสรรพสิ่ง
เป็นหลักคำสอนที่พระพุทธศาสนามหายานทุกนิกายต่างก็นำมาตีความให้ความหมายและถกเถียงกันไปตามมติของคณาจารย์ในแต่ละสำนักอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนาภายหลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นต้นมา
ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากคำสอนเรื่องดังกล่าว ด้วยกันแทบทั้งสิ้น สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสำนักพุทธในยุคหลังโดยมากจะพัฒนาหลักคำสอนในเชิงปรัชญา
ซึ่งทำให้มีการถกเถียงกันถึงความหมายของคำว่า ความว่าง ทางสายกลาง ว่าหมายถึงอะไร
สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดที่พยายามแก้ปัญหาที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้คือ
สำนักมาธยมิกะ ผู้วางรากฐานคำสอนคือ ท่านนาคารชุนะ มาธยมิกะแปลว่าผู้นับถือคำสอนเรื่องทางสายกลาง
มาธยมิกะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศูนยตวาท
หมายถึงคำสอนที่ประกาศความว่างของสิ่งทั้งหลายเป็นเรื่องสำคัญที่แสดงให้เห็นทางสายกลางตามแนวทางที่สำนักนี้สอน
แต่ก็เป็นประเด็นที่สร้างปัญหาในการอธิบายคำสอนของสำนักนี้ด้วย
คำสอนมาธยมิกะ
เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางความคิด
มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อสร้างเหตุผลที่ดีที่สุด สำนักพุทธใหญ่ๆ
ที่ได้รับการยอมรับในเวลานั้นส่วนใหญ่จะมีความอธิบายที่ต่างกันในเรื่องนี้
และนั่นนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมสงฆ์ สภาพสังคมชาวพุทธในอินเดียเวลานั้นมีความวุ่นวายสาเหตุเพราะพระภิกษุที่เป็นนักคิดมักจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน
และตีความพระธรรมวินัยไปตามจริตของแต่ละคน
ทำให้ความเชื่อเป็นไปคนละทิศละทางหาทางปรองดองกันไม่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ชาวพุทธผู้ที่ต้องการแสวงหาที่สุดแห่งความเชื่อหันหลังให้กับศรัทธาที่เคยมีต่อพระธรรมและพระสงฆ์
ทวนเข็มกลับไปสู่การศึกษาเรื่องราวของพระพุทธเจ้ากันใหม่
๒.
สรุปสาระสำคัญของเนื้อหา
หนังสือเรื่อง นาคารชุนะ
กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง บทสรุปของหลักการแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น
และผู้เบิกบางอย่างแท้จริง สามารถสรุปสาระสำคัญของเนื้อหาแบ่งเป็นสามภาค ดังนี้
สาระสำคัญภาคที่หนึ่ง
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นสภาพแวดล้อมและหลักคำสอนในยุคก่อนกำเนิดสำนักมาธยมิกะ
โดยเริ่มจาก ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ
ซึ่งเป็นกลุ่มชาวพุทธที่ยอมรับคำสอนว่าด้วยเรื่องของความว่าง ทางสายกลาง และการอิงอาศัยกันและกันมีอยู่ของสรรพสิ่ง
ความเป็นมาของสำนักนี้สามารถสืบย้อนขึ้นไปนั้นแต่สมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช(ประมาณ
๒๕๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน)เหตุที่ดลใจให้ปฐมาจารย์ของสำนักคือท่านนาคารชุนะ
(๑๕๐-๒๕๐ ปีหลังคริสต์กาล) เขียนงานอธิบายคำสอนว่าด้วยหลักการทางสายกลาง
เกิดจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายนอกได้แก่แนวคิดของสำนักฮินดูโบราณเช่นสาขยะ
เรื่อยไปจนถึงอิทธิพลของพระสูตรชิ้นสำคัญ
ที่ได้รับการกล่าวอ้างว่าค้นพบโดยท่านนาคารชุนะเอง พระสูตรนั้นก็คือ
มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ปัจจัยภายในได้แก่
ความขัดแย้งในการตีความหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
การให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าแทนที่พระธรรมและคำสอนที่เบี่ยงเบนออกจากพระพุทธประสงค์
เหล่านี้นำไปสู่การแสวงหาทางสายกลางในพระพุทธศาสนา
เป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจัยภายในคือแรงผลักดันอันแท้จริงที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของสำนักมาธยมิกะปัจจัยภายนอกเป็นเพียงแรงเสริมเท่านั้น
ความสนใจในเรื่องราวของพระพุทธเจ้าทำให้ชาวพุทธบางส่วนหันกลับมาขบคิดในสิ่งที่ดูเหมือนตอบไม่ได้ก่อนหน้านั้น
โดยเฉพาะการตีความอาการนิ่งของพระพุทธองค์ นักปราชญ์หลายท่านเชื่อว่า มาธยมิกะ หรือมัธยมกะเกิดจากการอธิบายท่าทีของพระพุทธองค์ที่ไม่ทรงตอบคำถามบางอย่าง
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า มีความเห็นมากมายเผยแพร่อยู่ในสังคมตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
พรหมชาลสูตร กล่าวถึงทิฐิ(คือความเห็น)ทั้งหลายที่นักคิดสอนกันมีจำนวนมากถึง ๖๒
แนวคิด
ในบรรดาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปัญหาบางข้อที่มีผู้ถามพระพุทธเจ้าแต่ไม่ได้รับคำตอบใด
พระพุทธเจ้าจะทรงนิ่งไม่ทรงตอบคำถามเหล่านั้น เรียกคำถามเหล่านั้นว่า
ปัญหาอัพยากฤต
อาการนิ่งของพระพุทธเจ้าก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมากมายในสายตาของคนนอก
พระพุทธองค์ทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่รู้จริงบ้าง
หรือไม่ก็รู้แต่ไม่มีความสามารถในการแสดงเหตุผลออกมาให้ประจักษ์
แต่ในสายตาของชาวพุทธส่วนใหญ่มองว่าพระองค์ทรงทราบคำตอบดีแต่ไม่ประสงค์จะชี้แจง
เหตุผลของการไม่ชี้แจงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธฝ่ายเดิมไม่สนใจ
แต่สงฆ์หมู่ใหญ่บางกลุ่มซึ่งต้องการศึกษาเรื่องราวของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังเห็นว่าประเด็นนี้มองข้ามไม่ได้
พวกเขาเชื่อในความเป็นผู้รู้ทุกอย่างของพระองค์ เชื่อว่าพระพุทธองค์รู้ทุกอย่าง
ในขณะที่คนทั่วไปรู้ได้เพียงบางอย่าง
ความขัดแย้งในธรรมก็มีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดคำสอนแบบมัธยมกะ
เนื่องจากพระพุทธพจน์ในหลายแห่งระบุว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
พระพุทธพจน์นี้ก่อให้เกิดความใคร่รู้ว่าจะต้องเห็นธรรมแบบใดจึงหยั่งถึงพระพุทธเจ้าได้
ยิ่งกว่านั้น พระพุทธโอวาทในช่วงท้ายของพระชนม์ชีพระบุไว้ชัดถึงกาลภายหน้า
ภิกษุจะมีพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดาสืบต่อจากพระองค์
ทำให้ชาวพุทธในยุคต้นมหายานพยายามขบคิดว่า “ธรรม”
ที่พระพุทธเข้าทรงให้ความสำคัญเทียบเท่าพระองค์นั้นหมายถึงอะไร
ทั้งหมดนี้คือตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดคำสอนแบบมัธยมกะ ปัจจัยภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของสำนักนี้คงไม่มีอะไรโดดเด่นกว่าคำสอนปรัชญาปารมิตากับสำนักฮินดูที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น
ซึ่งก็คือสำนักสางขยะ
สำนักสางขยะ ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในบรรดาหกสำนักปรัชญาฮินดู
ไม่นับถือพระเจ้า
อีกทั้งมีคำสอนเชิงปรัชญาชั้นสูงคล้ายคลึงกับที่นักปราชญ์พุทธสอนอยู่หลายประการ
ทำให้เราไม่อาจมองข้ามความสำคัญ ปัญหาที่สำนักสางขยะประสบก็เป็นปัญหาเดียวกับที่ท่านนาคารชุนะชี้ให้เห็นในฝั่งของพุทธศาสนา
เพียงแต่หน้าที่ในการวิพากษ์สำนักนอกพุทธส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่ท่านอารยเทวะ
ซึ่งเป็นศิษย์เอกและผู้วางหลักการสายกลางร่วมกับพระนาคารชุนะ กล่าวโดยสรุป
มูลเหตุที่ก่อให้เกิดคำสอนมัธยมกะได้แก่ สำนักพุทธที่มีคำสอนสนับสนุนความจริงที่สุด
แบ่งย่อยออกได้อีกสองกลุ่มคือ
กลุ่มแรกเน้นความจริงที่อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของจิตเรียกว่า
สำนักฝ่ายอภิธรรมหรือพวกสัจนิยม สำคัญๆ คือ สรวาสติวาทะ กับ เสาตรานติกะ
กลุ่มที่สองเน้นความจริงที่อยู่พ้นการรับรู้ของจิต
เรียกว่าพวกโลโกตตรวาทะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงฆ์หมู่ใหญ่หรือ มหาสังฆิกะ
ทั้งสามกลุ่มล้วนเป็นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของการทำให้คำสอนพุทธเป็นสัมบูรณนิยม(Absolutism)
ด้วยเหตุว่ามัธยมกะเป็นคำสอนที่มุ่งแก้ไขความเห็นผิดอันเป็นทางสุดโต่งทั้งหมดนักปราชญ์หลายท่านจึงยกย่องให้คำสอนของสำนักนี้(โดยเฉพาะของท่านนาคารชุนะ)
เป็นหัวใจของพุทธปรัชญา ท่านมีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อพุทธศาสนา
เพราะช่วยล้างความอ่อนแอ (แก้ความเข้าใจผิด) ให้กับรากแก้วทางปัญญาสองกระแสหลักของอินเดีย
คำสอนของท่านคือทางสายกลางที่พ้นไปจากทางสุดโต่งของทั้งอัตตาและอนัตตา
ศูนยตาคือการหลุดพ้นจากกรอบของขั้วสุดโต่งทั้งสองทาง
สาระสำคัญภาคที่สอง
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นหลักคำสอนสำคัญๆ
ของพระนาคารชุนะไว้พิจารณา ๕ ประเด็นคือ (๑) วิภาษวิธี (๒) การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง
(๓) ความจริงสองระดับกับความว่าง (๔) ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง และ (๕) อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ
ประเด็นที่ ๑ วิภาษวิธี (Dialectic)
คำว่า วิภาษวิธี หมายถึงการดำเนินการอภิปรายหรือโต้วาทีเป็นกระบวนการทางความคิดที่นำไปสู่การตระหนักรู้อย่างแจ้งแจ้งถึงข้อจำกัดของเหตุผล
โดยทั่วไปการเคลื่อนไหวทางความคิดในลักษณะนี้มักจะดำเนินไปในสองรูปแบบ กล่าวคือ (๑)
เพื่อปฏิเสธหรือวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดอื่นเป็นหลัก วิภาษวิธีถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์เพื่ออภิปรายหรือโต้แย้งความคิดผู้อื่น
วิธีการเป็นไปในเชิงปฏิเสธหรือหักล้าง (negative/destructive
dialectic) (๒) เพื่อแสดงจุดยืนทางความคิดของผู้นำเสนอ
โดยพยายามหาบทสรุปหรือเป้าหมายที่เป็นสัจธรรม ในแง่นี้วิภาษวิธีเป็นเครื่องมือที่ใช้ปลูกปัญญาทำให้หยั่งเห็นความจริงในท้ายที่สุด
วิธีการจึงเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์กว่าแบบแรก(constructive dialectic)
วิภาษวิธี
สามารถถูกมองทั้งในขอบเขตของทฤษฎีความรู้และอภิปรัชญา ในแง่ของทฤษฎีความรู้
วิภาษวิธีเป็นวิธีการที่ใช้ในการถกเถียง
โดยบุคคลที่มีชื่อเสียงในการใช้วิธีการเช่นนี้ในทางตะวันตกคือโสกราตีส
(Socrates) ขั้นตอนประกอบไปด้วยการทำตัวเป็นผู้ขอความรู้
พยายามตะล่อมถามให้คู่สนทนานิยามหรือแสดงข้อคิดเห็นของเขาออกมาให้ชัดเจน
จากนั้นก็ทำให้เห็นว่า จะต้องมีข้อสรุปบางอย่างเกิดขึ้นจากการแสดงความคิดเห็นนั้น
ต่อมาก็ชี้ให้เห็นว่าข้อสรุปที่เกิดขึ้นนั้นขัดแย้งกับข้อเท็จจริง สามัญสำนึก
หรือข้อความที่ยอมรับกันอยู่ก่อน
เป้าหมายก็เพื่อทำให้ข้อคิดเห็นของคู่สนทนาไร้น้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ
วิภาษวิธีเป็นทัศนะที่เชื่อว่า
ความจริงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง
การเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดพัฒนาการที่วางพื้นฐานอยู่บนความขัดแย้งภายใน
เริ่มต้นจากความเชื่อว่าทุกสิ่งมีความขัดแย้งภายในเป็นพื้นฐาน
ความขัดแย้งนี้ดำเนินไปในสามภาวะคือ ภาวะพื้นฐาน (thesis) ภาวะแย้ง (antithesis) จนก่อให้เกิดสภาพใหม่ที่เรียกว่าภาวะสังเคราะห์ (synthesis) พัฒนาการของสิ่งทั้งหลายเกิดจากความขัดแย้งแบบนี้
ถ้าไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีสิ่ง ภาวะ หรือคุณภาพใหม่ใดๆ เกิดขึ้น
ยิ่งกว่านั้นวิภาษวิธียังเกิดจากการหยั่งเห็นว่าระบบความคิดทั้งหลายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นความคิดเป็นปรากฏการณ์หรือมายาภาพ
ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ได้จากการประจักษ์ตรง
ทฤษฎีทั้งหลายในโลกเป็นความจริงที่สร้างขึ้นมาบนฐานของความคิด
แม้จะดูน่าเชื่อถือหรือหนักแน่นเพียงไรมันก็ยังเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลสืบสาวหาข้อสรุป
(ที่เรียกว่าการอนุมาน) ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ไปยึดถือเป็นจริงเป็นจัง
ในการที่จะทำให้บุคคลตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดของเหตุผล
เบื้องต้นจะนำความเห็นหรือทฤษฎีที่เราต้องการตรวจสอบมาจัดกลุ่มก่อนความคิดหนึ่งๆ
ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร
เมื่อนำมาตีแผ่จะตกลงไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในสี่รูปแบบดังนี้คือ ยืนยัน ปฏิเสธ ทั้งยืนยันและปฏิเสธ
และไม่ใช่ทั้งยืนยันหรือปฏิเสธ ท่านนาคารชุนะจัดระบบการตรวจสอบเหตุผลออกมาเป็นชุด
เรียกว่า จตุษโกฏิ ตำราบางเล่มเขียนว่า จตุษโกณะ หรือจตุกโกฏิ ก็มี
แปลง่ายๆว่าสี่มุม
(หรือสี่ขั้วความคิดหนึ่งๆ ของเราอาจตกอยู่ในหลายมุมพร้อมๆ กันก็ได้
เช่นเวลาที่เรายืนยันความคิดบางอย่างเราก็อาจจะปฏิเสธความคิดอีกอย่างไปโดยปริยาย)
ท่านก็จะแสดงให้เห็นต่อไปว่า ไม่ว่าจะใช้เหตุผลไปในทางยืนยันหรือปฏิเสธ
ความคิดของบุคคลนั้นก็จะนำไปสู่ภาวะที่ขัดแย้งตัวเอง ต้องประสบกับความไร้สาระ (absurdity)
ของเหตุผลในท้ายที่สุด
ในเวลานั้น เรียกวิธีการเช่นนี้ว่า
ปรสังคะ (prasanga
– reduction ad absurdum)
การชี้ให้เห็นข้อบกพร่องทางเหตุผลของความคิด
ไม่จำเป็นที่ผู้ใช้วิภาษวิธีจะต้องนำเสนอความคิดแก้ต่างอะไรออกมา
เพียงแค่ชี้ให้คู่กรณีเห็นข้อบกพร่องในทิฐิของเขา ให้เหตุผลของพวกเขาเพื่อตรวจสอบและลดทอนความน่าเชื่อถือของพวกเขาเอง
ผู้ใช้วิภาษวิธีไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเอง และที่สำคัญวิภาษวิธี
เป็นเครื่องมือตรวจสอบเหตุผล ไม่ได้เป็นทิฐิหรือทัศนะที่จะต้องถูกปกป้องแต่อย่างใด
หน้าที่ของเครื่องมือนี้คือทำลายความน่าเชื่อถือของความเห็นทั้งหลาย
ทำให้บุคคลที่ติดอยู่ในความเชื่อต่างๆ
ต้องจำนนและยอมปลดปล่อยตัวเองจากความเชื่อนั้น
ประเด็นที่ ๒ การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง
ประเด็นนี้สุมาลี
มหณรงค์ชัยได้ยกข้อความในคัมภีร์ มูลมัธยมกการิกา ตอนหนึ่งที่ถูกอ้างถึงบ่อยครั้ง
ดังนี้ “เราประกาศว่า อะไรก็ตามที่เป็นการอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นมาอยู่
(ปรตีตยสมุตปาทะ) นั่นคือความว่าง นั่นเกิดจากการบัญญัติ และนั่นคือทางสายกลาง”
ข้อความนี้นักคิดส่วนใหญ่เห็นร่วมกันว่า
เป็นบทสรุปหลักการสำคัญทางพุทธศาสนาที่ท่านนาคารชุนะชี้ไว้ งานเขียนชิ้นสำคัญของท่านนาคารชุนะคือ
มูลมัธยมกการิกา
เต็มไปด้วยข้อความที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความจริงแบบที่สุด
(นัยยะคือความจริงภววิทยา) ในคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยไม่ผ่านความคิดปรุงแต่ง
เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับแก่นสารบางอย่างที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง
ยิ่งยืนยันมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าบุคคลนั้นกำลังสรุปความจริงจากความคิด
ซึ่งส่วนใหญ่ของความคิดก็มาจากจินตภาพที่จิตสร้างขึ้นจากความเข้าใจและประสบการณ์แบบชาวโลก
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่าการจะอธิบายหลักการของพระนาคารชุนะไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะจะต้องระมัดระวังเรื่องแก่นสารภาวะที่ท่านปฏิเสธเป็นอย่างมาก
ทัศนะของบุคคลและกลุ่มชนในระดับโลกิยะทั้งหมดล้วนสนับสนุนแก่นสาร (สวภาวะ)
บางอย่างที่สามารถจัดลงในจตุษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้น
ทำให้ไม่มีทัศนะใดเป็นที่ยอมรับหรือเรียกได้ว่าถูกต้อง ปัญหาคือถ้าไม่มีทัศนะใดเรียกได้ว่าถูกต้อง
ทุกทัศนะต่างก็เป็นมิจฉาทิฐิในแง่ที่ไม่เอื้อต่อความพ้นทุกข์
แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าเป็นสัมมาทิฐินั้นควรจะถูกเข้าใจว่าอย่างไร
เราจะอธิบายสัมมาทิฐิโดยไม่ทำให้มันกลายเป็นทัศนะที่สนับสนุนสวภาวะได้หรือไม่
เพื่อที่จะไม่ทำให้คำสอนของท่านนาคารชุนะประสบปัญหาขัดแย้งตัวเอง
สัมมาทิฐิจะต้องไม่ใช่ทัศนะในแบบที่ชาวโลกเข้าใจ
อาการนิ่งเงียบของพระองค์ในแง่หนึ่งตีความได้ว่า
เป็นการแสดงจุดยืนว่าความเข้าใจของพระองค์ไม่ใช่อย่างเดียวกับนักคิดทั้งหลาย
เพราะถ้าใช่ พระพุทธเจ้าคงจะตอบปัญหาของพวกเขาเพื่อสร้างความกระจ่างร่วมกันไปนานแล้ว
ประเด็นที่ ๓ ความจริงสองระดับกับความว่าง
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่า
สำหรับชาวพุทธไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด
ส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับคำสอนในเรื่องความจริงสองระดับคือสมมติกับปรมัตถ์
บางคนก็นิยมเรียกความจริงโลกิยะกับความจริงโลกุตระ
ความจริงสมมติเป็นเรื่องของการสร้างความรู้ความเข้าใจแบบชาวบ้าน
มีการบัญญัติชื่อเรียกสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรู้เช่น โต๊ะ สุนัข หรือชายหญิง ส่วนความจริงปรมัตถ์เป็นความจริงเหนือโลก
ข้าพ้นบัญญัติ แต่ปฏิเสธไม่ได้ ความเข้าใจทำนองนี้นำไปสู่ความเชื่อว่าความจริงสองระดับดำรงอยู่แยกขาดจากกัน
ในการก้าวสู่ความพ้นทุกข์บุคคลจะต้องแยกโลกิยวิถีออกจากโลกุตรวิถีอย่างเด็ดขาด
เนื่องจากโลกเป็นที่รวมแห่งความทุกข์
ความจริงเกี่ยวกับโลกย่อมดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ว่าความสามารถในการก้าวพ้นความจริงสมมติไปสู่ระดับปรมัตถ์ต้องอาศัยปัญญา
หากต้องการเข้าสู่ความหลุดพ้นซึ่งเป็นความจริงปรมัตถ์
จำเป็นที่คนจะต้องละทิ้งหรือปล่อยวางความจริงสมมุติทุกอย่าง
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่า
หากมองเพียงผิวเผิน ความเชื่อข้างต้นไม่ถือว่าผิดหลักพุทธศาสนา
ภาพที่ได้จากความเข้าใจ ก็บอกชัดเจนว่าความจริงสองระดับแตกต่างกันแต่ความแตกต่างที่ดูเหมือนตรงข้ามกันนี้เราจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบ
แม้ชาวพุทธทั่วไปจะเชื่อว่าความจริงสมมติไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงๆ
เป็นเพียงนามหรือจินตนาการใช้อธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน
กระนั้นความเข้าใจที่เกิดจากบัญญัติก็ย่อมเป็นความจริงในระดับสมมติเท่านั้น
ถ้าสมมติแปลว่าไม่จริงต้องถูกปล่อยทิ้ง
ความรู้ทุกอย่างของคนไม่เว้นแม้แต่เรื่องของความจริงปรมัตถ์ก็ย่อมไม่จริงต้องถูกปล่อยวางหมด
ประเด็นที่ ๔ ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง
สุมาลี มหณรงค์ชัยได้สรุปปัญหาที่เกิดกับความเข้าใจปรมัตถธรรมในพุทธศาสนาเกิดจากการยอมรับแก่นสาร
(ที่เรียกว่า สวภาวะ) ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
การยอมรับแก่นสารไม่ว่าจะเป็นไปในเชิงยืนยันหรือปฏิเสธล้วนนำไปสู่ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่หรือไม่มีอยู่
(ที่เรียกว่า ภาวะ/อภาวะ) ความโน้มเอียงไปสู่ขั้วใดขั้วหนึ่งในสี่มุม (จตุษโกฏิ)
เป็นธรรมชาติของปุถุชน ผู้ยึดถือทัศนะตามขั้วใด
ขั้วนั้นก็จะกลายเป็นหลักการและเป้าหมายสำหรับพวกเขา
ซึ่งวิธีการหรือหนทางสู่เป้าหมายจะได้รับการพัฒนาต่อจากความเชื่อตรงนั้น
กรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับคำสอนของลัทธินอกพุทธศาสนาเท่านั้น
แม้ภายในกรอบของพุทธศาสนาเราเอง
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจนนำไปสู่การยึดถือทัศนะก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป
ข้อดีของคำสอนที่อิงอยู่กับความมีอยู่หรือความไม่มีอยู่คือเข้าใจหรือคิดตามได้ง่าย
แต่ข้อเสียคือไม่เอื้อต่อการพ้นทุกข์
เพราะความพ้นทุกข์เป็นเรื่องของการปลดปล่อยพันธนาการทุกอย่าง
และพันธนาการที่ซับซ้อนและน่ากลัวที่สุดอันหนึ่ง
ก็คือความคิดที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของอะไรบางอย่างนี่เอง
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เราเห็นว่า การจะอธิบายทางสายกลางไม่ใช่เรื่องง่าย
อันที่จริงเป็นเรื่องยากมากๆ และต้องระมัดระวังการสื่อภาษาเป็นอย่างยิ่ง
แม้ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่การสนับสนุนแก่นสารภาวะได้แล้ว ความมีกับความไม่มี
ในพระสูตรเป็นประเด็นสำคัญที่นักคิดส่วนใหญ่พยายามทำความเข้าใจ
ในบางแห่งทั้งคู่จะถูกอธิบายว่าหมายถึงทัศนะที่ยอมรับความที่ยงแท้ถาวร(สัสตทิฐิ)กับทัศนะว่าทุกอย่างสิ้นสูญ(อุจเฉททิฐิ)
สัสตทิฐิคือความเห็นว่าโลกและอัตตาเที่ยงอุจเฉททิฐิคือความเห็นว่าตายแล้วขาดสูญไม่ยอมรับการเวียนว่ายตายเกิดจึงปฏิเสธหลักกรรม
พระอรรถกถาจารย์อธิบายเสริมว่าอุจเฉททิฐิเป็นแนวคิดเชิงวัตถุนิยมทำให้คนหมกมุ่นในกามสุข
ทั้งสองความเห็นเป็นส่วนหนึ่งของทัศนะมากมายที่เผยแพร่อยู่ในสมัยพุทธกาล
ประเด็นที่ ๕ อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ
อดีตที่ผ่านมา
นักปราชญ์และนักคิดจำนวนมากให้ความสนใจวิเคราะห์งานของท่านนาคารชุนะ
โดยเฉพาะคัมภีร์มูลมัธยมกการิกาคำสอนของท่านมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อสำนักพุทธ
(เน้นสายมหายาน) ส่วนใหญ่นับจากยุคของท่าน อรรถกถาธิบายคัมภีร์ของท่านก่อให้เกิดคณาจารย์มาธยมิกะผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ได้รับการยอมรับนับถือ มีชื่อเสียงแพร่หลาย
และมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก อาทิ ภาววิเวกะ จันทรกีรติ ศานติเทวะ เรื่อยไปถึงศานตรักษิตะ
และกมลศีละ
ในประเทศจีนคำสอนของท่านก็ส่งอิทธิพลต่อการเกิดขึ้นของสำนักสัทธรรมปุณฑรีกะ
อวตังสกะ และธยานะ คณาจารย์คนสำคัญๆ ของสำนักดังกล่าวต่างคุ้นเคยกับหลักการความว่างและทางสายกลางของท่านนาคารชุนะ
คำสอนของท่านยากแต่ก็ท้าทายนักคิดทุกยุคสมัย
ผู้เขียนได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อท่านนาคารชุนะไว้ว่า
บางครั้งผู้เขียนก็ฉงนใจไม่น้อยที่ข้อเขียนยากๆ
ในอดีตจำนวนหนึ่งสามารถท้าทายกลุ่มคนที่มีศักยภาพให้ทุ่มเทชีวิตค้นหาความหมายของมัน
ผลงานของคนๆ
หนึ่งที่มีประวัติคลุมเครือแต่กลับจุดประกายความคิดและส่งต่อภูมิปัญญาให้กับคนรุ่นลูกหลานไม่รู้จักจบสิ้น
ที่สำคัญคือบุคคลที่รับมอบคบไฟแห่งภูมิปัญญานั้น
โดยมากจะเป็นปราชญ์และผู้เชี่ยวชาญในการใช้เหตุผลเป็นอย่างยิ่งด้วย หากแยกเรื่องความรู้สึกออกไปเหตุผลที่ทำให้ท่านนาคารชุนะได้รับความสำคัญอยู่ในอันดับต้นๆ
เป็นเพราะคำสอนของท่านเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง ที่ผ่านมามีคนมองท่านต่างๆ นาน
บ้างก็ว่าท่านเป็นพวกที่ปฏิเสธเหตุผลบ้าง
เป็นนักบวชลึกลับที่มีคำสอนสูงส่งเกินเข้าใจบ้าง หาไม่ก็เป็นพวกที่เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแต่ตัวเองกลับไม่กล้าพอที่จะนำเสนอความคิดอะไรออกมา
ข้อโต้แย้งเหล่านี้ได้รับการอธิบายเรื่อยมา
ยิ่งพยายามปกป้องงานของท่านมากเท่าใดก็ยิ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเท่านั้น
ในทางกลับกันยิ่งวิพากษ์งานของท่านมากเท่าใดก็ยิ่งมีคนปกป้องมากขึ้นเท่านั้น
สาระสำคัญภาคที่ ๓ เป็นการนำเสนอประวัติคณาจารย์คนสำคัญของสำนักมาธยมิกะ
ในหนังสือพระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลางเล่มนี้
สุมาลี มหณรงค์ชัย ยังได้นำเสนอพัฒนาการของสำนักมาธมิกะออกเป็นสี่ช่วง ได้แก่
๑.
ยุคของท่านนาคารชุนะและศิษย์สายตรงคือท่านอารยเทวะ
๒.
ยุคของการแตกความคิดและเกิดสำนักย่อยที่นำโดยท่านภาววิเวกะ
๓.
ยุคของท่านจันทรกีรติ
๔.
ยุคของการผสานคำสอนมาธยมิกะเข้ากับโยคาจาระโดยท่านศานตรักษิตะและศิษย์
หากใช้บุคคลเป็นเกณฑ์
พัฒนาการของสำนักนี้จะดำเนินไปตามนี้ สำนัก(หรือสาขา)
สองแห่งของมาธยมิกะคือสวาตันตริกะกับปราสังคิกะเกิดขึ้นในยุคที่สอง
ถ้านับเป็นเวลาก็ราวสี่ร้อยปีภายหลังการจากไปของปฐมาจารย์
(ประมาณคริสต์ศตวรรษที่หก)
ความแตกต่างทางความคิดเกิดจากการตีความคำสอนของท่านนาคารชุนะไม่เหมือนกัน
แต่โดยหลักการแล้วทั้งสองฝ่ายต่างเห็นด้วยในจุดยืนเดียวกันคือ
ทุกสิ่งอิงอาศัยกันและกันมีอยู่จึงว่าง
ความว่างบ่งถึงการไร้แก่นสาร(หรือที่เรียกว่าไม่มีสวภาวะ)
สวภาวะเป็นเรื่องของความคิดที่หาไม่พบในประสบการณ์เมื่อสิ่งทั้งหลายว่าง
ความจริงสองระดับย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระดับปรมัตถ์หยั่งเห็นสัจธรรมนี้ย่อมได้ชื่อว่ามีสัมมาทิฐิ
หยั่งรู้ทางสายกลางตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในยุคที่ท่านนาคารชุนะประกาศคำสอนว่าด้วยทางสายกลางจุดหมายของท่านคือต้องการวิพากษ์หรือชี้ให้เห็นจุดบกพร่องของความเห็น(ทิฐิ)
ที่มีอยู่ในเวลานั้น ต่อมาเมื่อนักปราชญ์ชาวพุทธได้อ่านงานของท่านแล้วยอมรับในหลักการ
ความเป็นสำนักที่เรียกว่า “มาธยมิกะ” จึงตามมา
ช่วงเวลาของแต่ละยุคห่างกันมากกว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนเพราะฉะนั้น
ผู้เขียนยังได้เตือนว่า ผู้อ่านต้องตระหนักอยู่เสมอว่า
ลักษณะเด่นอันหนึ่งของคำสอนพุทธ (ซึ่งอาจจะรวมปรัชญาตะวันออกสายอื่นด้วย)
อยู่ตรงที่ศาสดาและครูบาอาจารย์ทั้งหลายในยุคเริ่มแรก
ท่านเหล่านั้นสั่งสอนโดยไม่ได้ประกาศความเป็นศาสนา (หรือสำนัก) ไม่ได้วางกรอบใดๆ
ล่วงหน้าเพื่อชี้จุดยืนของตนเป็นเอกเทศจากผู้อื่น จุดร่วมต่างๆ เช่นศาสนา นิกาย
ลัทธิ สำนัก ตลอดจนกลุ่มความเชื่อที่ก่อให้เกิดความแตกแยกเป็นเรื่องของศรัทธาในภายหลัง
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ครูบาอาจารย์ที่อ้างถึงตรงนี้หมายถึงนักปราชญ์ผู้หยั่งรู้ในสัจธรรม
มิใช่ผู้หวังลาภสักการะ
ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้พิจารณาดูความน่าเชื่อถือของชาวพุทธที่ภายนอกได้รับยกย่องว่าเป็นครูบาอาจารย์ด้วย
ในกรณีของสำนักมาธยมิกะ
ผู้รู้ส่วนใหญ่เห็นว่าท่านนาคารชุนะประกาศคำสอนว่าด้วยทางสายกลางเรียกว่า
“มัธยมกะ” ส่วนมาธยมิกะเป็นชื่อเรียกกลุ่มของชาวพุทธที่เห็นชอบตามหลักการของท่าน
นาคารชุนะ (นาคารชุน-Nâgârjuna)
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นาคารชุนะมีชีวิตอยู่ในราวคริสต์ศตวรรษที่สอง
(ประมาณ ๑๕๐-๒๕๐ ปีหลังคริสตกาล) ท่านถือกำเนิดในตระกูลของพราหมณ์ที่เมืองวิทารภะ
(ปัจจุบันเรียกว่า เพราระอยู่ในแคว้นมหาโกศละ)ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย
มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับพระเจ้า ยัชญศรี เคาตมีปุตระ หรือ
โคตรมีปุตระ/โคตมีบุตร)แห่งราชวงศ์ อานธระ (ตำราของอาจารย์อภิชัยเขียนว่า
ศาตวาหนะ) หลักฐานฝ่ายจีนกล่าวว่าท่านมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับพระเจ้ากนิษกะ
และพระอัศวโฆษะ( Asvaghosa )
โดยท่านมีอายุน้อยกว่าพระอัศวโฆษะ พระอัศวโฆษะเป็นพระสหายใกล้ชิดกับพระเจ้ากนิษกะ
และพระวสุมิตระ(Vasumitra )ซึ่งเป็นอาจารย์คนสำคัญของนิกายสรวาสติวาทะ
๓.
ข้อวิจารณ์
ผู้วิจารณ์มีข้อวิจารณ์ ๒ ข้อคือ ๑) รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา และ ๒) การนำเสนอข้อมูลเนื้อหาในหนังสือ
“นาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” ดังนี้
ข้อ
๑) รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา
หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นด้านกลวิธีการเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาและการอภิปรายแต่ละประเด็นด้วยหลักตรรกะ
ซึ่งมีการอ้างอิงหลักฐานสนับสนุนการอภิปราย เช่น ข้อความในหนังสือต้นฉบับ
ทำให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ส่วนจุดที่ควรต้องปรับปรุงแก้ไขก็คือ
การใช้ภาษาที่ค่อนข้างจะยากทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานความรู้มาก่อนไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้
ในด้านรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาผู้เขียนควรใช้ภาษาที่เรียบง่ายและไม่ควรที่จะเป็นวิชาการมากนักเพื่อดึงดูดผู้อ่านในระดับพื้นฐานซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลส่วนใหญ่ในสังคม
จะทำให้หนังสือ “นาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” เล่มนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาวิธีการนำเสนอการเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางปรัชญาในหนังสือเล่มนี้
ผู้วิจารณ์เห็นว่า
ผู้เขียนเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาของสำนักมาธยมิกะกับสำนักสางขยะของอินเดียโดยมิได้บิดเบือนสาระสำคัญของแต่ละทัศนะ
จึงทำให้ข้อมูลมีเหตุมีผลและมีความน่าเชื่อถือ อันเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในการคิดและวิเคราะห์สาระของหนังสือเล่มนี้
อย่างไรก็ดีการใช้กลวิธีเทียบเคียงเช่นนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งผู้เทียบเคียงจะต้องมีความเชี่ยวชาญในปรัชญาทั้งสองและต้องมีใจเป็นกลางในการเทียบเคียงในแต่ละประเด็น
เพราะแนวคิดทั้งสองมีภูมิหลังทางวัฒนธรรมและภาษาต่างกัน สอดคล้องกับข้อความในหนังสือมนุษย์กับศาสนาของปรีชา
ช้างขวัญยืนและสมภาร พรมทา ว่า
ความเหมาะสมของเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าเรากำลังใช้สิ่งนั้นกับอะไร
ศาสนาแบบเชื่อถือพระเจ้าอาจเหมาะกับคนในสังคมหนึ่งซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตแบบหนึ่งในขณะที่ศาสนาแบบไม่เชื่อถือพระเจ้าก็อาจเหมาะสมกับคนในอีกสังคมหนึ่งที่มีปัญหาชีวิตที่แตกต่างไปจากผู้คนในสังคมที่นับถือศาสนาแบบเชื่อถือพระเจ้าศาสนาสองประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะที่ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกัน
ทุกศาสนามีเหตุผลในการถือกำเนิดขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะของตนเอง
ปรีชา
ช้างขวัญยืนและสมภาร พรมทา
ยังให้ข้อสังเกตในการใช้วิธีการเปรียบเทียบหลักทางปรัชญาของศาสนาไว้อีกว่า
สิ่งแรกที่สุดที่เราควรเข้าใจก็คือ โดยธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นจะมีคำสอนจำนวนหนึ่งในทุกศาสนาที่ไม่สามารถตรวจสอบด้วยวิธีการแบบเดียวกับที่ใช้ในวิทยาศาสตร์กล่าวคือตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัสและคำสอนของศาสนาต่างๆ
ที่ขัดแย้งกันก็มักจะได้แก่คำสอนส่วนที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้นี้เมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้เราก็ควรยอมรับว่าคำสอนที่ตรงกันข้ามเหล่านี้มีฐานะเท่าเทียมกันในแง่ที่ต่างก็ไม่สามารถพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนเชื่อจริง
มองจากแง่นี้
เนื้อหาของศาสนาที่ตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันเหล่านี้ย่อมมีฐานะเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น
ข้อที่
๒) การนำเสนอข้อมูลและเนื้อหาในหนังสือ“นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง”สุมาลี
มหณรงค์ชัยนำเสนอข้อมูลประเด็นปัญหาทางปรัชญาโดยการนำหลักพุทธธรรมของสรวาสติวาทะสำนักเสาตันตริกวาทะ
และโลโกตตระวาทะบางหลักมาวิเคราะห์ทางปรัชญา
และใช้วิธีเทียบเคียงทัศนะของสำนักสางขยะของฮินดู
เพื่อชี้ให้เห็นทรรศนะที่มีความแตกต่างกันของแต่ละสำนักซึ่งในที่สุดก็สามารถจัดลงในจุตษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้นดังนั้นความคิดใดๆ
ก็ตามที่สนับสนุนภาวะมูลฐานหรือแกนสารสาระ ความคิดนั้นไปไมไดกับเรื่องของเหตุและผล
รวมทั้งผูที่ยอมรับความคิดเหลานั้นก็ถือไดวา ไมเขาใจหลัก ความจริงที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอน
ดังมีปรากฏในมูลมาธยมิกการิกาเขียนไววา การเกิดขึ้นของภาวะแกนสาร (selfnature)
โดยผานเหตุและปจจัย เปนสิ่งที่เปนไปไมได (ไมเหมาะสม) ภาวะแกนสารที่เกิดขึ้นในฐานะเปน
ผลลัพธ์ของเหตุและจจัย จะเปนบางสิ่งที่ถูกสรางขึ้น...ใครก็ตามที่หยั่งเห็นภาวะแกนสารในตัวเองหรือสิ่งอื่น
ยอมรับภาวะของการมีอยูหรือไมมีอยู เขาผูนั้นหยั่งไมเห็นความจริงในคําสอนของพระพุทธองค ในด้านเนื้อหาผู้วิจารณ์ประสงค์จะแสดงความคิดเห็นมีด้วยกัน
๓ ประเด็นคือ ๑) ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ
๒) หลักทางสายกลางในคัมภีร์มาธยมิกะศาสตร์
และ๓) ประวัติท่านนาคารชุนะ ซึ่งเป็นเนื้อหาในส่วนสำคัญ ดังนี้
ประเด็นที่
๑) ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะผู้วิจารณ์มีความคิดเห็นว่า การนำเสนอมูลเหตุและอิทธิพลที่ก่อให้เกิดคำสอนมาธยมิกะตามที่ผู้เขียนกล่าวไว้นั้นยังขาดข้อมูลที่จำเป็นบางอย่าง
เช่น ประวัติของนิกายตรีศาสตร์ ซึ่งนิกายนี้อาศัยศาสตร์ ๓ ปกรณ์ คือ มาธยมิกศาสตร์
ศตศาสตร์ และทวาทศนิกายศาสตร์รวมกันเป็นชื่อของนิกาย โดยมีท่านนาคารชุนเป็นปฐมาจารย์แห่งนิกายนี้
ท่านเป็นผู้ตั้งทฤษฎีศูนยตวาทิน
อรรถาธิบายหลักปัจจยาการและอนัตตาของพระพุทธองค์โดยวิธีใหม่
คัมภีร์ที่ท่านรจนามีเป็นจำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ มาธยมิกศาสตร์
นอกจากประกาศแนวทฤษฎีศูนยตาแล้ว ยังได้วิพากษ์นานามติของประดานิกายในพระพุทธศาสนาและมติของปรัชญาฮินดูและเชนได้ด้วย เช่น
ความเชื่อในศาสนาฮินดูเรื่องพหุเทวนิยม เกี่ยวผู้สร้าง ผู้รักษา ผู้ทำลาย โดยเทพเจ้าต่างๆมากมายเช่นพระพรหม พระศิวะ
พระวิษณุเป็นต้น ซึ่งมีมานานก่อนมีนาคารชุน สามารถย้อนไปถึงศาสนาพราหมณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนพุทธศาสนาอีก นอกจากนี้ยังมีความเชื่อตามปรัชญาอณูพหุนิยม(Atomic
Pluralism) ในปรัชญานยายะที่ถือว่า อณูของดิน น้ำ ไฟ ลม
เป็นมูลเหตุของโลกและสรรพสิ่งในโลก
ทัศนะต่างๆเหล่านี้ทำให้นาคารชุนเสนอแนวคิดเรื่องปฏิจจสมุปบาท
เพื่ออธิบายการเกิดดับของสิ่งทั้งหลาย และใช้ศูนยตาเป็นตัวเดินเรื่องพร้อมขยายความด้วยระบบตรรกะ
เมื่อนาคารชุนใช้ศูนยตาในการอธิบายและตอบโต้กับลัทธิต่างๆ แน่นอนว่าย่อมมีการตีความศูนยตาไปต่างๆนานา ดังนั้นปิงคลเนตร
จึงกล่าวต่อไปว่าเพื่อไม่ให้ศูนยตาธรรมเกิดความคลาดเคลื่อนไปโดยประการต่างๆ
จึงรจนาคัมภีร์มาธยมิกศาสตร์ขึ้นมา อรรถกถาของศาสตร์นี้มีผู้แต่งกันไว้มาก
ฉบับที่แปลสู่พากษ์จีนมี ๒ ฉบับเป็นของนีลเนตรและของภาววิเวก
ส่วนคัมภีร์ศตศาสตร์นั้นเป็นของอาจารย์เทวะ
เป็นหนังสือวิพากษ์ปรัชญาฮินดูทั้งเวทานตะ สางขยะ ไวเศษิกะ นยายะ โยคะ และเชน
ไว้อย่างถึงพริกถึงขิง เผยให้เห็นความเลิศเด่นของพระพุทธธรรม
อย่างไรก็ตามผู้วิจารณ์ไม่พบว่าผู้เขียนได้กล่าวถึงความเสื่อมของแนวคิดศูนยตวาทินในยุคราชวงค์ถัง
เมื่อท่านปิฎกธราจารย์เฮียงจัง ประกาศปรัชญาวิชญาณวาทินอยู่
เลยทำให้รัศมีฝ่ายศูนยตวาทินอับลงตราบเท่าทุกวันนี้
ประเด็นที่
๒) ปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ ผู้วิจารณ์เห็นว่า
ผู้เขียนนอกจากจะยกเอาทัศนะของสำนักต่างๆ เช่น สำนักสรวาสติวาทะ สำนักเสาตันตริกะ
สำนักโลโกตตระภาวะ และสำนักสางขยะ มาเขียนอธิบายไว้แล้วยังได้วิเคราะห์ให้เห็นปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ
เอาไว้ด้วย ซึ่งแต่ละสำนักก็มักจะมีการยืนยันแก่นสารภาวะและมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นหลายประการ
ปัญหาเหล่านี้ซึ่งผู้เขียนมีการอธิบายเอาไว้ในตอนของหลักธรรมสำคัญของสำนักมาธมิกะเพื่อแก้ไขทิฐิที่ผิดพลาดเหล่านั้น
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นหลักคำสอนสำคัญๆ
ของพระนาคารชุนะไว้พิจารณาคือ วิภาษวิธี การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง
ความจริงสองระดับกับความว่าง ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง ซึ่งในแต่ละประเด็นก็ได้รับการอธิบายชี้แจงและเสนอแนะทางออกให้กับปัญหาเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
ประเด็นที่
๓) เรื่องประวัติของท่านนาคารชุนะ ที่ผู้เขียนได้นำเสนอในหนังสือยังไม่สามารถยอมรับได้ว่าถูกต้อง
เพราะยังมีอีกหลายทัศนะที่กล่าวถึงประวัติของท่านไม่เหมือนกัน ดังเช่น
ประวัติของท่านนาคารชุนในบันทึกกุมารชีพ
(ค.ศ. 344-413) ได้กล่าวไว้ว่า
ชีวิตในวัยเยาว์ ท่านนาคารชุนเป็นชาวอินเดียใต้เกิดในสกุลพราหมณ์ มีความจำเป็นเลิศ จดจำสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว แตกฉานในศาสตร์หลายสาขา เช่น ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์เป็นต้น
ส่วนสาเหตุการบวช
เกิดจากการนำวิชาอาคมไปใช้ในทางที่ผิด ละเมิดสนมนางใน ถูกพระราชารับสั่งไล่ฆ่า
จนเพื่อนเสียชีวิตไป ๓ คน ส่วนท่านรอดชีวิตเพราะยืนแอบอยู่ด้านหลังพระราชา
และตั้งจิตอธิษฐานออกบวชเพราะเห็นภัยในกามโลกีย์ ชีวิตหลังบวช
ท่านได้ออกบวชที่เจดีย์กลางเขาแห่งหนึ่ง
ศึกษาพระไตรปิฎกในนิกายสรวาสติวาทแตกฉานภายใน 3 เดือน (ในอินเดียเหนือ) ภายหลังได้ศึกษาพระสูตรฝ่ายมหายานกับภิกษุชราภาพรูปหนึ่ง
แต่ไม่ปรากฏเนื้อหาที่ชัดเจนว่าศึกษาเรื่องอะไรในพระสูตรมหายาน ท่านเป็นนักโต้วาที เดินทางท่องเที่ยวโต้วาทะกับนักปรัชญาต่างๆ
ชนะไปทั่วอินเดีย ภายหลังถูกกล่าวหาว่ามิใช่สัพพัญญูเพราะเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า
การเป็นศิษย์คือการถามสิ่งที่ยังไม่รู้ จึงได้สถาปนาตนเป็นอาจารย์
เปลี่ยนจีวร เปลี่ยนวินัยใหม่
และให้ศิษย์ทำตามด้วย ลงสู่นาคมณเฑียร
บันทึกตอนนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
ระบุว่านาคได้นำท่านสู่นาคมณเฑียร
เปิดคลังแก้วมณีและหนังสือต่างๆให้ท่านอ่าน ภายหลังกลับคืนสู่อินเดียใต้เผยแผ่คำสอนมหายานไปทั่วอินเดีย
ชื่อเรียก “นาคารชุน”
แม่ท่านให้กำเนิดท่านที่ต้นไม้ชื่อ “อรชุน” และ “นาค” นำท่านไปพบความสำเร็จ
จึงได้นามว่า “นาคารชุน”
นาคารชุนในบันทึก
เสวียนจั้ง ค.ศ. 602-664
ความสามารถด้านการแพทย์ ท่านนาคารชุนเชี่ยวชาญในการปรุงยาอายุวัฒนะ มีอายุยืนยาวร่วมกับพระเจ้าสาตวาหะ จนเป็นเหตุให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีประวัติของนาคารชุนในบันทึกปูสตัน
(ค.ศ.1290-1364) ที่เห็นไม่เหมือนกันว่า
ชีวิตวัยเยาว์ บิดามารดาทำยัญพิธีขอบุตร ต่อมาได้รับคำทำนายว่าท่านมีชีวิตอยู่ได้เพียง
๗ วัน ๗ เดือน และ ๗ ปี ตามลำดับ
จนในที่สุดได้ออกบวชเป็นสามเณรที่วัดนาลันทา จึงรอดพ้นจากความตาย ส่วนชีวิตหลังบวชของท่านนาคารชุน
ท่านได้ไปศึกษากับอาจารย์สรหะและอุปสมบทเป็นภิกษุชื่อศรีมาน
มีท่านราหุลภัทรเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาใช้วิชาเสกทองคำเป็นค่าภัตตาหารในช่วงทุพภิกขภัย
ถูกลงโทษโดยให้ไปบูรณปฏิสังขรณ์อาราม
สร้างเจดีย์ ประเด็นมรณภาพของท่านก็เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมือง
โดยพระราชโอรสได้รับคำแนะนำจากพระราชมารดาให้ไปขอประทานศีรษะนาคารชุน
เพื่อบริจาคเป็นทานมุ่งสำเร็จในพุทธผล ท่านได้ทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการใช้หญ้าคาเชือดคอ
มอบศีรษะให้พระราชกุมาร เมื่อท่านมรณภาพ พระราชบิดาก็สิ้นพระชนม์ด้วย
ส่วนที่มาของชื่อนาคารชุนะ
มีสองนัยคือ สร้างเจดีย์สำเร็จได้เพราะการช่วยเหลือของนาค จึงได้ชื่อว่าอรชุน
อีกประการหนึ่ง นาคะ หมายถึงการกำเนิดในโลกแห่งธรรม ไม่สุดโต่ง
(ในสัสสตะและอุทเฉทะ) ทำลายมิจฉาทิฐิได้
มีความสำเร็จในการปกครอง อารักขาและบริหารประเทศแห่งพระสัทธรรม
จึงได้ชื่อว่า “นาคารชุน” ประเด็นมรณภาพ อันนี้มาจากปัญหาการเมืองเช่นเดียวกับบันทึกเสวียนจั้ง
แต่มีต่างกันที่พระโอรสนามว่าศักติมานเป็นผู้ใช้หญ้าคาลงมือสังหาร
ผู้วิจารณ์เห็นว่าในประเด็นต่างๆเหล่านี้ผู้เขียนควรที่จะค้นคว้าและนำมาเขียนเพิ่มเติมเอาไว้ด้วยเพราะมีความสำคัญพอๆกับหลักทางสายกลางของท่าน
เพราะหากประวัติของท่านนาคารชุนะยังคลุมเครือ การที่ผู้เขียนใช้ชื่อหนังสือว่า
นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามไปด้วย
แม้ในส่วนของหลักธรรมสำคัญต่างๆ จะได้รับการอธิบายอย่างละเอียดแล้วก็ตาม
๔.
สรุปและคำแนะนำ
กล่าวโดยสรุป หนังสือ “นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง”
เล่มนี้ สุมาลี มหณรงค์ชัย นำเสนอเนื้อหาโดยการเปรียบเทียบประเด็นปัญหาทางปรัชญากับทัศนะสุดโต่งทั้งสองสาย
แบ่งเนื้อหาเป็น ๒ ส่วนคือ ภาคที่ ๑ สภาพแวดล้อมและหลักคำสอนในยุคก่อนกำเนิดสำนักมาธยมิกะ
และภาคที่ ๒ หลักคำสอนสำคัญๆ ของพระนาคารชุนะ แบ่งเป็น ๕ ประเด็นคือ (๑) วิภาษวิธี
(๒) การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง (๓) ความจริงสองระดับกับความว่าง (๔)
ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง และ (๕) อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจแนวคิดของพุทธศาสนาชัดเจนขึ้น
หนังสือเล่มนี้ จึงมีคุณค่าต่อการศึกษาประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาสำหรับนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจในพุทธปรัชญาและปรัชญามาธยมิกะของท่านนาคารชุนะ
เพราะเนื้อหาในหนังสือให้ทั้งแง่คิด มุมมอง
และสาระที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปขบคิดและวิเคราะห์
ทั้งนี้ผู้วิจารณ์ได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้
๓ ประเด็นคือ ๑)ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ ๒) ปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ
และ ๓) ประวัติของท่านนาคารชุนะ เพราะผู้วิจารณ์เห็นว่า
ในประเด็นต่างๆนี้ควรจะได้รับการขยายความ
และเพิ่มเติมเนื้อหาให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยเฉพาะประวัติของท่านนาคารชุนะที่ต้องอ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และทัศนะของนักวิชาการทางพุทธศาสนา
ผู้วิจารณ์เห็นด้วยกับผู้เขียนที่กล่าวว่า การจะอธิบายหลักการของพระนาคารชุนะไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะจะต้องระมัดระวังเรื่องแก่นสารภาวะที่ท่านปฏิเสธเป็นอย่างมาก โดยชี้ให้เห็นว่าทัศนะของบุคคลและกลุ่มชนในระดับโลกิยะทั้งหมดล้วนสนับสนุนแก่นสาร
(สวภาวะ) บางอย่างที่สามารถจัดลงในจตุษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้น
ทำให้ไม่มีทัศนะใดเป็นที่ยอมรับหรือเรียกได้ว่าถูกต้อง
การตีความหลักการของพระนาคารชุนะก่อให้เกิดกระแสต่างๆ ที่เป็นทั้งความขัดแย้งและปัญญาญาณในเวลาเดียวกัน
ความสั้นและห้วนของข้อเขียนในอดีตอาจโต้แย้งได้ง่าย
หลายคนมองว่าเราไม่สามารถศึกษาคำสอนของพระนาคารชุนะได้โดยไม่ใส่ความเห็นส่วนตัว
ซึ่งนั่นก็ถูกในด้านหนึ่ง แต่ความน่าสนใจในงานของท่าน
อยู่ตรงที่เราไม่สามารถยึดถือแม้บทสรุปของเราเองในท้ายที่สุด
ตรงนี้ถือเป็นหัวใจของความว่างและหลักการสายกลาง
หลักที่ถ้าใครหยั่งถึงแล้วความโน้มเอียงไปในทัศนะต่างๆ จะสิ้นสุดลง
อคติทางความคิดและเหตุผลจะถูกปล่อยวาง อีกทั้งการแสวงหาทางสายใหม่ก็จะยุติลงด้วย
หนังสือ
“นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง บทสรุปของหลักการแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น
และเบิกบานอย่างแท้จริง” เล่มนี้ จึงมีความเหมาะสมสำหรับคณาจารย์
นิสิตนักศึกษาด้านปรัชญาที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ ที่สำคัญคือ
หนังสือเล่มนี้ได้แสดงให้เห็นหลักตรรกวิทยาที่ปรากฏในเรื่องวิภาษวิธี
ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้มุมมองเชิงปรัชญา
อันจะทำให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจหลักคิดและประเด็นปัญหาทางปรัชญา
เพื่อต่อยอดความสนใจนั้นไปสู่การวิเคราะห์วิจารณ์ปัญหาเฉพาะเรื่องได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้
หากนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปประสงค์จะเข้าใจประเด็นปัญหาแต่ละส่วนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ควรทำความเข้าใจหลักการของสำนักมาธยมิกะโดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก
มูลมัธยมกการิกาซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของสำนักมัธยมิกะซึ่งเค้าโครงเนื้อหาของคัมภีร์มูลมัธยมกการิกาในภาพรวมทั้งหมด
๒๗ บท ดาวิด เจ. กะลุปะหานะ (David J.
Kalupahana)ได้รวบรวมเอาไว้อย่างละเอียด รวมถึงสำนักภายในพระพุทธศาสนา เช่นสรวาสติวาทะ
สำนักเสาตันตริกะ สำนักโลโกตรภาวะและสำนักในปรัชญาอินเดีย เช่น สางขยะ และ สำนักนยายะ
และสำนักปรัชญาอินเดียร่วมสมัยอื่นๆ ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือปวงปรัชญาอินเดียของ
ฟื้น ดอกบัว สำหรับการทำความเข้าใจหลักธรรมของพุทธศาสนามหายาน ควรอ่านงานของ
เสถียร โพธินันทะ เรื่อง “พุทธปรัชญามหายาน”
“กำเนิดและพัฒนาการของปรัชญามหายาน”พระศรีคัมภีรญาณ เรื่อง“พุทธปรัชญา”
เพื่อเปิดมุมมองของการศึกษาและทำความเข้าใจประเด็นปัญหาเชิงปรัชญาให้มากขึ้น
อันจะนำไปสู่ความเจริญทางสติปัญญา และเป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเอง
และสังคมประเทศชาติต่อไป.
**************
บรรณานุกรม
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.พระไตรปิฏกภาษาไทย, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย,๒๕๓๙.
ปรีชา
ช้างขวัญยืน สมภาร พรมทา,มนุษย์กับศาสนา,พิมพ์ครั้งที่๔.กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.๒๕๔๒.
ประเวศ อินทองปาน.พุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก.พิมพ์ครั้งที่
๓. กรุงเทพมหานคร: สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.๒๕๕๓.
ฟื้น ดอกบัว,ปวงปรัชญาอินเดีย.พิมพ์ครั้งที่ ๒
.กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๕๕.
สุมาลี มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,กรุงเทพมหานคร:
ศยาม.๒๕๔๘.
สมภาร
พรมทา,พุทธศาสนามหายาน: นิกายหลัก.กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.๒๕๔๐.
เสถียร โพธินันทะ,ปรัชญามหายาน พิมพ์ครั้งที่
๔. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์บรรณาคาร.
๒๕๒๒.
Kalupahana,
David J. (1999) Mûlamadhyamakakârikâ of Nâgârjuna. Delhi: Motilal
Banarsidass.
.(1996)
Nâgârjuna : The Philosophy of the Middle Way. Albany : State University
of New York Press.
Ramanan,K.V. (1987) Nâgârjuna’s
Philosophy. Delhi,Motilal Banarsidass,
Singh, J.(1978) An
Introduction to Madhyamaka Philosophy.Delhi,Motilal Banarsidass,