วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ครุยสีทอง



โดย ด๊อกเตอร์ถังขยะ

…นาน ๆ ครั้งเราจึงจะเห็นบัณฑิต สวมชุดครุยสีทอง ของคณะพุทธศาสตร สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ปรัชญา ศาสนาเปรียบเทียบ บาลีพุทธศาสตร์  วิปัสสนาภาวนา ฯลฯ ในสายเดียวกัน  จะด้วยสาเหตุอะไรนั้นเราค่อยว่ากันภายหลัง  ตรงนี้อยากพูดถึงว่า ฆราวาสเรียนแล้วได้อะไรมากกว่า 

...ในหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนา ปรัชญา สองสาขานี้มีลักษณะต่างกัน แต่เป้าหมายสูงค่าพอ ๆ กัน คือ เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทุกวันนี้เรามุ่งแสวงหาแต่วัตถุสิ่งของ เครื่องดำรงชีพ มีมากแล้วก็อยากมีอีกต่อไปไม่จบสิ้น สังคมวัดคุณค่าของคนด้วยเงิน ทอง ตำแหน่ง ยศศักดิ์ จนลืมเลือนส่วนที่สำคัญที่สุดคือทางด้านจิตใจ และปัญญา 

...การเรียนสาขาวิชาในคณะพุทธศาสตร์ ไม่ว่าสาขาใด ย่อมเป็นการปรับสมดุลของชีวิตให้เสมอกันโดยให้คุณค่ากับความสุขทางด้านจิตใจเป็นสำคัญ แต่ก็ไม่ละทิ้งเรื่องทางโลก ทางวัตถุที่ต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน แต่ถึงกระนั้นคณะพุทธศาสตร์ก็เร่งผลิตบัณฑิตที่สมบูรณ์พร้อมทั้งกายและใจ เพื่อออกสู่สังคม สังคมที่พร่องทางศีลธรรม สังคมที่เปลือกนอกห่อหุ้มด้วยทองคำแต่ภายในเน่าเฟะ โดยมีพระพุทธ​ศาสนา​เป็นฐานอันมั่นคง​.

...การเรียนพระพุทธศาสนาในระดับปริญญาตรี จะทำให้นิสิตสามารถแยกแยะพระพุทธศาสนาอย่างที่เห็น กับพระพุทธศาสนาที่เป็นอยู่จริง ๆ ออกมาได้อย่างถูกต้อง 

....หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต (สำหรับฆราวาส) เรียนหมวดวิชาศึกษาทั่วไป วิชาบังคับ  ๑๘ หน่วยกิต วิชาเลือก  ๑๒ หน่วยกิต หมวดวิชาเฉพาะ  วิชากลุ่มพระพุทธศาสนา  ๓๐ หน่วยกิต กลุ่มวิชาภาษาบาลีและพระพุทธศาสนา ๑๔ หน่วยกิต  กลุ่มวิชาพระพุทธศาสนาทั่วไป ๑๒ หน่วยกิต กลุ่มวิชาวิปัสสนาธุระ ๔ หน่วยกิต  วิชาแกนพระพุทธศาสนา  ๓๓ หน่วยกิต   วิชาเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา ๓๒ หน่วยกิต วิชาเลือกเฉพาะสาขาพระพุทธศาสนา ๙ หน่วยกิต 

....จะเห็นว่า ครอบคลุมความรู้ทางพระพุทธศาสนาทุกด้านทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน รวมทั้งพุทธศาสนาประยุกต์และ พระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก อรรถกถา ฏีกา ฯลฯ.

....แต่การที่ใครสักคนจะได้รับปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก ไม่ใช่จ่ายครบจบแน่ หรือเรียน ๆ เล่น ๆ เดี๋ยวก็จบเอง ที่ผ่านมาก็จะเห็นแล้วว่าผู้ที่จบออกไปได้ล้วนมีคุณภาพและศักยภาพแทบทั้งสิ้น บางรูป ก็เรียนต่อจนจบปริญญาเอก บางรูปไปทำงานในองค์กรของรัฐ บางคนก็นำเอาความรู้ไปพัฒนาตนเองจนเจริญก้าวหน้าในสาขาอาชีพที่ตนเองเลือก 

...นิสิตจะต้องมีทั้งสติปัญญา มีความพากเพียร มีความมุ่งมั่น และจะต้องทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดเวลาที่เรียน เพื่อรองรับสรรพความรู้และศาสตร์ต่างๆ  ที่มีอยู่ในหลักสูตรทั้งหมดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด หาไม่แล้วนิสิตจะกลายเป็นคนที่มีแต่ใบปริญญา แต่หาคุณค่าไม่ได้ (แม้สาขาอื่น ๆ ก็เช่นกัน) เพราะความรู้ในหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิตเป็นความรู้ในระดับโลกุตตรธรรมแทบทั้งสิ้น รู้ยาก เข้าใจยาก รู้ตามก็ยาก รู้เองก็ยาก การคิดว่ามันยากเอาไว้ก่อนก็เพื่อพาตนเองให้มุ่งมั่นตั้งใจจริงในอันที่จะแสวงหาความรู้ในระยะเวลา  ๔ ปี ๘ ภาคการศึกษาอย่างมีสมาธิ.


วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

บทความพิเศษ...เนื่องในวันอาสาฬหบูชา 2566

...เรื่อง.ภิกษุ ภิกษุณี กับความสัมพันธ์ระหว่างสามนิกาย 

โดย.อ.อาทิจฺจพโล

....ในวันอาสาฬหบูชา ย้อนกลับไปครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมจักกัปปวัฒนสูตร จนมีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ยุคนั้นเรียกยุคพุทธศาสนาดั้งเดิม เป็นช่วงเวลาที่พระพุทธเจ้ายังทรงประทับอยู่ด้วย ภายหลังพระพุทธปรินิพพาน จึงมีการสังคายนาครั้งแรกโดยพระมหาเถระที่ยังหลงเหลืออยู่ในขณะนั้น หลังสังคายนาเสร็จสิ้น เราเรียกยุคนี้ว่า เถรวาทยุคต้น 

...กระทั่งประมาณช่วงต้นพุทธศักราชพระพุทธศาสนาก็ยังคงเป็นแบบเถรวาทอยู่ คณะสงฆ์ทุกนิกายในปัจจุบัน สามารถย้อนสายธรรมไปได้ถึงคณะสงฆ์ยุคต้นๆ แต่ในบรรดาสำนักคิดของยุคแรก มีสายธรรมเดียว คือ เถรวาท" ที่มีอยู่จนถึงทุกวันนี้ 

...ทุกสายธรรมมีผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดคือภิกษุและภิกษุณี ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็น "สังฆะ" หรือ "ชุมชนผู้ปฏิบัติธรรม" 

...จนเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีหลังพุทธปรินิพพาน ได้เกิดความเห็นต่างกันขึ้นในหมู่สงฆ์ และค่อยๆ นำไปสู่การก่อตั้งคณะย่อยแต่ละคณะมีรายละเอียดทางพระวินัยบแตกต่างกันเล็กน้อย และต่อมาได้พัฒนาจนกลายเป็นสำนักปรัชญาต่างๆ 

...ในบางบริบท "คำว่า สงฆ์" หมายถึง " พระอริยบุคคล" ซึ่งเป็นได้ทั้งบรรพชิตหรือฆราวาสที่บรรลุธรรมโดยสมบูรณ์ หรือบรรลุธรรมบางส่วน แต่เป็นที่นิยมว่า "สงฆ์" หมายถึงพระภิกษุและภิกษุณี ส่วนฆราวาสก็คงใช้คำตามเดิมแม้จะบรรลุธรรมก็ไม่นิยมเรียกตนเองว่าสงฆ์

...พระสงฆ์ทุกนิกายมีหลักการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในนิกายของตนแตกต่างกัน เถรวาทตั้งใจที่จะเดินตาม "คำสอน" ของ "พระเถระทั้งหลาย" ซึ่งร่วมกันสังคายนาคำสอนไม่นานหลังพุทธปรินิพพาน โดยจุดมุ่งหมายที่จะสืบทอดและรักษาคำสอนของพระพุทธองค์ แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาคำสอนจะไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่กระนั้นก็ได้รับการรักษาไว้ให้ใกล้เคียงกับคำสอนดั้งเดิมมากที่สุด นี่คือจุดเด่นที่สุดของเถรวาท

...ส่วนมหายานเน้นย้ำเรื่องความกรุณาอย่างเห็นได้ชัด และมีแนวคิดว่าความกรุณาเป็นคุณธรรมที่เป็นหัวใจแห่ง "มรรคาพระโพธิสัตว์" มหายานนำเสนอปรัชญาที่ละเอียดซับซ้อน ซึ่งเป็นการขยายความคำสอนเดิม และภายหลังต่อมามหายานก็ได้พัฒนานิกายย่อยขึ้นมาอีกหลายสาย เช่น นิกายเซน 

...ช่วงเวลาต่อมามหายานพัฒนาขึ้นอีกนิกายหนึ่ง ได้แก่ มันตรยาน  นิกายนี้มีหลักคำสอนแบบเดียวกับมหายานเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ได้คิดค้นวิธีปฏิบัติแบบใหม่ ที่ทรงพลังขึ้นมา เช่น การพร่ำภาวนามนต์อันศักดิ์สิทธิ์และทรงพลัง และการสร้างนิมิต ซึ่งต่อมาในช่วงปลายศตวรรษที่ ๗ วิธีการนี้เป็นที่รู้จักในนาม "วัชรยาน" 

...ขณะที่อินเดียยุคใหม่มีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนาก็ได้แผ่ขยายออกไปนอกอินเดียทั่วทวีปเอเชียใน ๓พื้นที่ คือ ๑) พระพุทธศาสนาสายใต้ เป็นพระพุทธศาสนาเถรวาท ๒) พระพุทธศาสนาในเอเชียตะวันออก เป็นพุทธศาสนามหายานแบบจีนและ ๓) พระพุทธศาสนาในเอเชียกลาง เป็นพระพุทธศาสนาแบบธิเบต

...เราอาจมองว่านิกายหลักทั้งสามนี้เป็นสาขาของครอบครัวเดียวกันได้ เพราะทั้งสามมี "ความคล้ายคลึงกันของสายตะกูล" คาบเกี่ยวกันระหว่างนิกายทั้งสาม  ถึงแม้แต่ละนิกายจะมีรูปแบบและลักษณะบางอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนก็ตาม ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่ความสัมพันธ์เชิงเรื่องเล่า แต่เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่านั้น เวลาภิกษุอินเดีย พบพระภิกษุไทย ในประเทศอินเดีย หรือที่ไหนในโลก โดยไม่ต้องถามก็เป็นที่รู้กันดี ว่าต้องยกมือไหว้ซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องให้บอกว่าใครเป็นใครวัดไหน นิกายไหน นี่คือตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไป ระหว่างพระภิกษุสงฆ์ที่พระพุทธองค์ทรงสถาปนาขึ้นในโลกและทรงทุ่มเททั้งชีวิตของพระองค์อบรมสั่งสอนพวกเขา ทรงเปรียบพวกเขาว่าเป็นประดุจดอกไม้จากป่านำมาร้อยเรียงกันอย่างเป็นระเบียบสวยงามเพื่อบูชาแด่คุณความดีทั้งหลายในจักรวาล..

*อ้างอิงจาก : พระไตรปิฎกฉบับสากล : วิถีธรรมจากพุทธปัญญา, หน้า ๗-๘.

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2566

การปฏิเสธระบบวรรณะของพระพุทธเจ้า

 


บทความวันวิสาขบูชา 2566  
เรื่อง การปฏิเสธระบบวรรณะของพระพุทธเจ้า

...คุณคงจะเคยผ่านประสบการณ์ของการถูกกดขี่มาบ้าง ในระดับส่วนตัว เช่น การที่เจ้านายใช้อำนาจบังคับให้ทำงานหนัก แต่กดค่าแรงของคุณให้ต่ำ ทั้ง  ที่คุณมีคุณสมบัติสูง เพียงเพราะคุณเป็นคนชายขอบ และไม่ใช่เด็กเส้น.

...พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการการกดขี่ เหยียดหยามมนุษย์โดยมนุษย์ด้วยกันเอง  ทรงเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิว ฐานะ ตำแหน่งอายุ พรรษา หน้าที่การงาน หรือ การเงินก็ตาม และไม่ว่ามันจะเกิดที่ไหนเมื่อไหร่กับใคร มันคือ ความป่าเถื่อน ความโหดร้าย และความอยุติธรรม

...ในประเทศไทยเองแม้จะมีผู้นับถือพระพุทธศาสนาอย่างล้นหลาม แต่ก็พบว่า ยังมีการเหยียดผิว และการกดขี่ทางชนชั้น เกิดขึ้นเช่นกัน เช่น เรามักจะให้ค่ากับคนที่ผิวขาว มากกว่าคนผิวดำ แต่ไม่ดูที่ความสามารถ หรือให้ค่าคนที่จบมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศสูงกว่าคนที่จบในประเทศ ให้ค่าคนที่มียศสูงตำแหน่งใหญ่โต สำคัญมากกว่าประชาชนธรรมดา  หาเช้ากินค่ำและเสียภาษี 

...หากคุณได้ศึกษาพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าทรงไม่ยอมรับระบบวรรณะในอินเดียขณะนั้น ที่แยกคนตามชาติกำเนิด แต่ทรงให้ความสำคัญกับทุกสรรพชีวิตเท่ากัน  หากพระองค์ทรงสอนพระภิกษุก็จะไม่ทรงใช้การบังคับ แม้แต่เรื่องของศีล ก็ไม่ใช่ข้อห้ามแต่เป็นแม่บทของการฝึกฝนอบรมตนเองเท่านั้น แต่พอเวลาผ่านไปก็กลับปรากฏว่า แม้แต่ในพระพุทธศาสนาก็ยังมีการกดขี่ เหยียดหยามกันเองในนามศาสนา อันนี้ก็เนื่องมาจากแนวคิดที่มองคุณค่าของคน ผ่านทางวัตถุเงินทอง ยศฐา บรรดาศักดิ์ หรือแม้แต่วุฒิการศึกษาก็ตาม  มีการเลือกปฏิบัติต่อกันอย่างไม่เป็นธรรมเสมอๆ 

...เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องคนบางคนแต่เป็นเรื่องของทุก  คนที่จะต้องร่วมมือกัน เพื่อป้องกันเราจะต้องปลูกฝังค่านิยมใหม่ให้แก่เด็กและเยาวชน ไม่ให้เกิดความคิดแบ่งแยกมนุษย์ด้วยสีผิว ด้วยฐานะ หรือวุฒิการศึกษา ด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน 

...เช่นเดียวกับเราจะไม่กล่าวหาเด็กที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองว่าเป็นอาชญากร ที่จะต้องลงโทษขั้นสูง ต้องตกนรกหมกไหม้ และเราจะไม่โทษคนที่ปฏิบัติในทางศาสนาแตกต่างจากเรา หรือผิดพลาดว่าเป็นคนเลว คนร้าย คนชั่วช้า ที่เราต้องเหยียบให้จมดิน แต่เราควรกระทำกับเขาด้วยความยุติธรรม เช่นเดียวกับที่เราอยากให้คนอื่นกระทำกับตนเอง 

ในวันวิสาขบูชานี้ ขอให้เราพิจารณาเรื่องสิทธิมนุษยชนกันอย่างถ่องแท้ จึงจะเกิดประโยชน์ไม่ใช่แค่ไปวัดจุดธูปเวียนเทียน สวดมนตร์ แล้วก็กลับบ้านนอน แต่ควรพิจารณาให้ถึงแก่นของคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ “มนุษย์แต่ละคนเท่าเทียมกันโดยธรรมชาติ เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แม้เขาจะทำผิดไปจากผู้อื่นอย่างไร เขาก็ยังเป็นมนุษย์มีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติด้วยมนุษยธรรมเท่าเทียมกับคนอื่น  นั่นเอง นี่แหละสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติตลอดชีวิต. ( ด๊อกเตอร์ถังขยะ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2566

บทความพิเศษเนื่องในวันวิสาขบูชา ๒๕๖๖ เรื่อง สังคมอินเดียและคติความเชื่อของสังคมอินเดียในสมัยพุทธกาล

 


สังคมอินเดียและคติความเชื่อของสังคมอินเดียในสมัยพุทธกาล”

โดย ด๊อกเตอร์ถังขยะ

.....เมื่อกล่าวถึงประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาล พบว่า ประเทศอินเดียสมัยนั้นไม่ได้เรียกชื่อว่า “อินเดีย” แต่เรียกว่า “ชมพูทวีป”  ในสมัยพุทธกาลอินเดียหรือชมพูทวีปนั้น แบ่งอาณาเขตเป็น 2 เขตคือ

• เขตภาคกลาง เรียกว่า มัชฉิมชนบทหรือมัธยมประเทศ เป็นที่อยู่ของชนชาติอริยกะ หรืออารยัน แปลว่า ผู้เจริญเป็นดินแดนของชนผิวขาว ชาวอารยันนี้เองมีลักษณะรูปร่างสูงใหญ่ผิวขาวหน้าตาละม้ายคล้ายชาวกรีก

• เขตรอบนอก เรียกว่า ประจันตชนบทหรือประจันตประเทศ คือ ประเทศปลายเขตเป็นที่อยู่ของชนชาติมิลักขะ หรืออนารยชน เป็นดินแดนของชนพื้นเมือง หรือชนดั้งเดิมที่ตั้งถิ่นฐานมาก่อนชนชาวอารยัน 

ว่ากันในทางภูมิศาสตร์ ชมพูทวีป มิได้หมายถึงประเทศอินเดียเพียงประเทศเดียว แต่มีอาณาเขตรวมหลายๆ ประเทศด้วยกัน คืออาณาเขตที่เป็นประเทศอินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสสถาน ศรีลังกา บังคลาเทศ และเนปาลในปัจจุบัน (ปัจจุบันเลิกใช้ชื่อชมพูทวีปนี้แล้ว) 

ในสมัยพุทธกาล ชมพูทวีปนอกจากแบ่งเป็น 2 เขตดังกล่าวแล้ว ได้แบ่งเป็นแคว้นต่างๆ มีจำนวน 16 แคว้น แต่ละแคว้นที่มีความสำคัญในสมัยพุทธกาลมีเพียง 6 แคว้น คือ แคว้นมคธ แคว้นวังสะ แคว้นอวันตี แคว้นกาสี แคว้นสักกะ และแคว้นโกศล

ลักษณะทางด้านการปกครอง อินเดียสมัยพุทธกาลแบ่งได้ 2 ระบบ

1. การปกครองแบบราชาธิปไตย พระมหากษัตริย์หรือผู้ครองแคว้นมีอำนาจสิทธิขาดผู้เดียว มีรัชทายาทสืบสันตติวงศ์แคว้นใหญ่ๆ ส่วนมากปกครองด้วยระบบนี้ เช่น

* แคว้นมคธ มีพระเจ้าพิมพิสารปกครอง * แคว้นโกศล มีพระเจ้าปเสนทิโกศลปกครอง

* แคว้นอวันตี มีพระเจ้าจันปัชโชตปกครอง * แคว้นวังสะ มีพระเจ้าอุเทนปกครอง

การปกครองของกษัตริย์ แม้จะมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครอง แต่ก็มีธรรมเป็นหลักในการปกครอง  หลักธรรมสำคัญของกษัตริย์ ได้แก่

* ทศพิธราชธรรม 10 ประการ

* สังคหวัตถุ 4 ประการ  เป็นต้นฯ

2. การปกครองแบบสามัคคีธรรม หรือการปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบบนี้ไม่มีพระมหากษัตริย์ผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาด ไม่มีการสืบสันตติวงศ์ การปกครองระบบนี้การบริหารประเทศขึ้นอยู่กับสถาบันสำคัญ คือ รัฐสภา ซึ่งสมัยเรียกว่า สัณฐาคาร มีประมุขรัฐสภาและมีคณะกรรมการรัฐสภาเป็นคณะกรรมการบริหารในสมัยพุทธกาล มีลักษณะดังนี้

ประมุขรัฐสภา  ผู้เคยดำรงตำแหน่งนี้คือพระเจ้าสุทโธทนะแห่งศากยวงศ์ แคว้นสักกะ กรุงกบิลพัสดุ์

ฝ่ายบริหารบ้านเมือง  ในสมัยพุทธกาล ได้แก่ กษัตริย์ลิจฉวี แห่งเมืองเวสาลี แคว้นวัชชี

กรรมการรัฐสภา  มาจากหัวหน้าครอบครัวใหญ่ๆ ระดับเมือง (ชนบท) ระดับอำเภอ

สมาชิกรัฐสภาจะต้องให้คำปฏิญญาต่อสัณฐาคาร หรือรัฐสภา เช่น จะรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ส่วนรวม จะไม่ขาดประชุม จะแสดงความคิดโดยเปิดเผย จะต้องปราศจากความโกรธแคว้นเมื่อถูกกล่าวหา และจะยอมรับสารภาพถ้ากระทำผิด หลักธรรมที่การปกครองยึดถือปฏิบัติคือ อปริหานิยธรรม มีสาระสำคัญ คือ

* หมั่นประชุมกันอย่างเนืองนิตย์

* พร้อมเพียงกันประชุม พร้อมเพียงกันเลิกประชุม

* ไม่บัญญัติสิ่งใหม่อันขัดต่อหลักการเดิม ไม่ล้มล้างบัญญัติเก่าที่ยังใช้ได้อยู่

* เคารพนับถือและเชื่อฟังผู้ใหญ่

* ปกครองสตรี มิให้ถูกข่มเหงรังแก

* เคารพในปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ

* คุ้มครองป้องกันภัยแก่ สมณ ชี พราหมณ์ ผู้เป็นที่พึ่งทางใจของประชาชน

ลักษณะสังคมของชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล

สังคม หมายถึง กลุ่มชนที่อยู่รวมกัน เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นประเทศชาติ โดยมีระบบแห่งความสัมพันธ์ที่มีหลักการ ได้แก่ การปกครอง การศึกษา เศรษฐกิจ ศาสนา ความก้าวหน้าทางศิลปวิทยา และการนันทนาการ

ลักษณะทางสังคมของชมพูทวีปสมัยพุทธกาล ได้มีการแบ่งวรรณะอยู่แล้วเป็น 4 วรรณะคือ

* วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ พวกเจ้า กษัตริย์ นักรบ นักปกครอง สีประจำวรรณะ คือสีแดง

* วรรณะพราหมณ์ ได้แก่ นักบวช ศึกษาคัมภีร์พระเวท มีหน้าที่ติดต่อกับเทวะหรือเทพเจ้า ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สีประจำวรรณะ คือสีขาว

* วรรณะแพศย์ ได้แก่ พ่อค้า คหบดี หรือบุคคลที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น พาณิชยกรรม เกษตรกรรม ศิลปหัตถกรรม พวกนี้เป็นชนชั้นกลางในสังคม สีประจำวรรณะ คือสีเหลือง

* วรรณะศูทร ได้แก่ กรรมกร ลูกจ้าง เป็นพวกชนชั้นต่ำ ผู้ใช้แรงงาน เป็นชนชั้นล่างของสังคม สีประจำวรรณะ คือสีเขียว หรือสีดำ

นอกจากนี้ ยังมีพวกนอกวรรณะ ที่เรียกว่า จัณฑาล ถือว่าเป็นคนชั้นต่ำสุด เพราะถือกำเนิดจากมารดาที่มีวรรณะสูงกว่าบิดา เช่น มารดาเป็นแพศย์ บิดาเป็นศูทร บุตรจะเกิดมาเป็นจัณฑาล ถูกเหยียดหยามจากวรรณะอื่นๆ ไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ใดๆ ทางสังคม

มูลเหตุที่ทำให้เกิดวรรณะ

* ทฤษฏีเกี่ยวกับองคายพของพระผู้สร้าง กล่าวว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างมนุษย์จากอวัยวะส่วนต่างๆของพระองค์ สร้างวรรณะพราหมณ์จากพระโอษฐ์ สร้างวรรณะกษัตริย์จากพระพาหา สร้างวรรณะแพศย์จากพระอูรุ (โคนขาหรือตะโพก) สร้างวรรณะศูทรจากพระบาท

* สันนิษฐานตามหลักวิชา คำว่า วรรณะ แปลว่า สีผิว นักวิชาการสันนิษฐานว่า การแบ่งชนชั้น จะมีที่มาจากการถือเผ่าพันธ์และสีผิว พวกวรรณะสูง ได้แก่ พราหมณ์ กษัตริย์ และพวกพ่อค้า คือเผ่าอารยัน ส่วนพวกศูทรเป็นพวกเผ่ามิลักขะ หรือพวกดราวิเดียน ชนชาติอารยัน หรือพวกอริยกะ อพยพมาจากทางเหนือของภูมิภาคของชมพูทวีป และได้ขับไล่พวกมิลักขะหรือดราวิเดียนลงไปอยู่ทางใต้

ลักษณะเศรษฐกิจในชมพูทวีป

เศรษฐกิจในครั้งพุทธกาล ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรม คือ ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ รองลงมา คือการค้าขาย และหัตถกรรมภายในครัวเรือน เช่น ช่างปั้นภาชนะดิน ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทอง ช่างทอผ้า ช่างฝึกม้าฝึกช้าง เป็นต้น เศรษฐกิจในชมพูทวีปโดยเฉพาะในแว่นแคว้นทางตอนเหนือและตอนกลาง ที่ราบลุ่มแม่น้ำจะมีเศรษฐกิจที่ดี ความเป็นอยู่เรื่องการอุปโภคบริโภคอยู่ในระดับดี มีกินมีใช้ เพราะสภาพภูมิประเทศอุดมสมบูรณ์

ลักษณะความเชื่อทางศาสนา

ความเชื่อทางศาสนา แบ่งได้ 3 กลุ่ม

ความเชื่อในวิญญาณและเทพเจ้า เป็นความเชื่อดั้งเดิมของชนพื้นเมืองเดิม คือพวกมิลักขะเดิม พวกนี้จะเชื่อในสภาพ ดิน ฟ้า อากาศ ภูเขา ต้นไม้ เมื่อสภาพธรรมชาติเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น เกิดฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พายุใหญ่ ชนพื้นเมืองจะเข้าใจว่าเป็นการกระทำของวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพวกมิลักขะได้ยกให้เป็นเทพเจ้า ซึ่งพวกอารยันที่มาภายหลังก็ยอมรับนับถือตามไปด้วย และได้ตั้งหลักการเกี่ยวกับเทพเจ้าหรือเทวดาไว้ 3 ประเภท คือ

* สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ เช่น พวกมหากษัตริย์ พระราชเทวี พระราชโอรส

* อุปปัตติเทพ เทวดาโดยกำเนิด เช่น เทวดาในสวรรค์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความดีงาม ความสุข ถ้าใครรักษาความดี ก็จะเกิดเป็นเทวดา เพราะเทวดาเป็นผู้ที่มีคุณธรรม

* วิสุทธิเทพ เทวดาโดยบริสุทธิ์ หมายถึง การเป็นเทวดาด้วยความเป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากกิเลส ปราศจากความเศร้าหมองจากความชั่ว วิสุทธิเทพนี้ หมายถึง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์

ความเชื่อของพวกพราหมณ์ ได้แก่ ความเชื่อในคัมภีร์ไตรเพท มีความเชื่อว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก จักรวาล และสรรพสิ่งทั้งปวง ความเชื่อของพราหมณ์อีกประการหนึ่งที่ละเลยไม่ได้ คือ ความเชื่อในเรื่องการล้างบาป มีความเชื่อว่า บาปของมนุษย์นั้นชำระล้างได้ด้วยแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ แม่น้ำคงคา ถ้าใครได้อาบ หรือได้กินน้ำในแม่น้ำคงคา ถือว่าได้บุญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองพาราณาสี ซึ่งเป็นเมืองของพระศิวะ และที่เมืองคยา ถือว่าเป็นเมืองของพระวิษณุ ผู้ที่ได้อาบ หรือดื่มกินน้ำในแม่น้ำคงคา โดยเฉพาะเมืองดังกล่าวถือว่าได้บุญมาก ความชั่วทั้งหมดจะถูกลอยไปกับสายน้ำกลายป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งทางกายและทางใจ

ลัทธิอิสระ คือ กลุ่มที่มีความเชื่ออิสระเป็นพวกนักบวชที่มีความมุ่งหมายที่จะค้นหาความจริงอย่างเป็นอิสระ มีหลักฐานกล่าวไว้ว่า มีถึง 336 ลัทธิ แต่หลักฐานทางพระพุทธศาสนากล่าวว่ามี 62 ลัทธิ แต่ที่ตั้งสำนักสั่งสอนในกรุงราชคฤห์แคว้นมคธนั้น มีลัทธิอิสระ 6 ลัทธิ สรุปได้ดังนี้

* ปูรณกัสสป มีความเห็นว่า บุญบาปไม่จริง การกระทำใดๆ ไม่ว่าดี เลว จะไม่มีผลอะไรตอบสนอง ลัทธินี้เรียกว่า อกิริยทิฐิ ซึ่งมีความเห็นว่าทำก็เท่ากับไม่ทำ

* มักขลิโคสาล มีความเห็นว่า ความบริสุทธิ์และความมัวหมอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย สัตว์ทั้งหลายบริสุทธิ์ และเศร้าหมองเองตามธรรมชาติ ลัทธินี้เรียกว่า อเหตุกทิฐิ เห็นว่าไม่มีเหตุ ไม่มีผล

* อชิตเกสกัมพล มีความเห็นว่า คนไม่มี สัตว์ไม่มี มีแต่การประชุมแห่งธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ

* ปกุธกัจจายนะ มีความเห็นว่า สิ่งที่เที่ยงแท้มีอยู่ 7 อย่าง คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ลม สุข ทุกข์ และชีวะไม่ผันแปรเป็นอย่างอื่น มีอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น เรียกว่า สัสตทิฐิ (เห็นว่านิรันดร) ในด้านจริยธรรม ถือว่าไม่มีการฆ่า ไม่มีคนถูกฆ่า เป็นเพียงแต่อาวุธชำแหละผ่านอวัยวะที่ไม่ยั่งยืนเท่านั้น แต่ชีวะที่เที่ยงแท้ไม่มีใครฆ่าได้

* นิครนถ์นาฏบุตร มีความเห็นว่า การทรมานกายให้ลำบากด้วยวิธีต่างๆ เป็นทางหลุดพ้น คือการไม่เบียดเบียน ไม่มีสมบัติที่จะครอบครอง ประพฤติตนสันโดษ เชื่อว่าการทรมานกายจะทำให้หลุดพ้นทุกข์ เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

* สัญชัยเวลัฏฐบุตร เป็นลัทธิที่ไม่ติดกับทรรศะใดๆ เป็นลัทธิลื่นไหลไม่ตายตัวแน่นอน เรียกว่า อมราวิกเขปิกาทิฐิ….

สังคมอินเดียหรือชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล รวมถึงแนวคิดคติความเชื่อของคนอินเดียในสมัยโบราณเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาจะต้องมีความรู้และความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อน จึงจะทำให้ศึกษาและทำความเข้าใจ ลักษณะสำคัญของพระพุทธศาสนาได้อย่างถูกต้องเพราะ  พระพุทธศาสนาถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางสังคมและความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเข้าใจพุทธประวัติและหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา หากเราละเลยที่จะศึกษาแนวคิดต่างๆ ของลัทธินิกายต่างๆ ที่มีอยู่ในสมัยพุทธกาล. 

๑ มิถุนายน ๒๕๖๖

วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

บทความพิเศษ เรื่อง "การแต่งงานของเพศทางเลือก

 


การแต่งงานของเพศทางเลือกมีประเด็นน่าสนใจดังนี้ครับ ประเด็นในเรื่องที่ฝ่ายสนับสนุนและยอมรับการแต่งงานของเพศทางเลือกที่ยกขึ้นมาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ ความเสมอภาค และ เท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ เป็นต้นว่า เขาก็คนเราก็คน ทำไมถึงต้องมาตั้งกรอบว่าคนที่จะแต่งงานกันได้จะต้องเป็นคนละเพศ ทำไมกฎหมายต้องมาจำกัดสิทธิ ในการเลือกของเรา ว่าเราจะต้องแต่งงานกับคนเพศไหน ในเมื่อสิทธินี้ควรจะเป็นสิทธิที่ติดตัวมาแต่กำเนิด 

...อีกประเด็นคือเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่ได้จากการแต่งงาน ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่งานแต่งแต่ประเด็นมันอยู่ที่ทะเบียนสมรส เพราะทะเบียนสมรสทำให้เกิด สิทธิและหน้าที่อันเกิดจากการจดทะเบียนตามมาตัวอย่างเช่น การรับมรดก ในฐานะคู่สมรส หรือ การได้มาซึ่งทรัพย์สินหลังจากแต่งงานซึ่งจะตกเป็นสินสมรส หรือ เป็นของทั้งสองฝ่ายโดยทั่วไป เมื่อเป็นเช่นนี้หากไม่มีทะเบียนสมรส บุคคลสองคนที่ประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกัน และต้องการให้รัฐรับรองให้ ก็ไม่อาจทำได้ เพราะรัฐได้กำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่าต้องมีเงื่อนไขอย่างไร

...ทั้งสองเหตุผลดูหนักแน่นพอสมควรที่จะทำให้เรา อยากลุกขึ้นปกป้องสิทธิของตนเอง หรือ ผู้อื่นในฐานะเพื่อนมนุษย์ ในส่วนของฝ่ายต่อต้านนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ละเอียดมากแต่ได้ประเด็นที่น่าสนใจมากเหมือนกัน 

 แต่ถ้าเราจะด่วนตัดสินลงไปจากเหตุผลเหล่านี้เพียงพอรึยัง ก็คงต้องตอบว่า ยัง เพราะเรายังไม่ได้พิจารณาถึงธรรมชาติมนุษย์ มนุษย์ เป็นสัตว์สังคมซึ่งอยู่รวมกัน ซึ่งประกอบขึ้น สถาบันทางสังคมที่เล็กที่สุดที่เรียกว่าครอบครัว ขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็น เผ่า และขยายตัวใหญ่ขึ้นไปอีกเรื่อยๆจนเป็นสังคมเมืองซึ่งมีโครงสร้างที่สลับซับซ้อนมาก ซึ่งหน่วยที่เล็กที่สุดในโครงสร้างอันสลับซับซ้อนนี้ ก็คือสถาบันครอบครัว เปรียบเสมือนฐานรากของตึกสูง เพราะฉะนั้น ตึกจะตั้งอยู่ได้ มั่นคงและยาวนานเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความมั่นคงของฐานรากนั้น ครอบครัว ตามธรรมชาติของมนุษย์ อันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงและดั้งเดิมคืออะไร คือการที่ชายและหญิงรักชอบกันอยู่ด้วยกัน และมีลูก ซึ่งลูกนั้นย่อมได้รับการดูแล จาก"พ่อ และ แม่ตามแต่หน้าที่ของแต่ละคนซึ่งเป็นกลไกลตามธรรมชาติและเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ และจะสืบต่อมาเรื่อยๆด้วย ประสบการณ์ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้สถาบันครอบครัวดำเนินต่อมาได้เรื่อยๆ


...ดังนั้นในเรื่องนี้จะไม่ถามว่า เพศเดียวกันมีสิทธิ์ที่จะแต่งงานกันหรือไม่"เพราะมีสิทธิเสรีภาพอยู่แล้ว แต่จะถามคำถามสำคัญคือ การอนุญาตให้เพศเดียวกันแต่งงานกันได้ และสามารถรับบุตรบุญธรรมได้เป็นการเปลี่ยนคำนิยาม ของคำว่า "ครอบครัวหรือไม่ เมื่อครอบครัวไม่ได้ประกอบด้วยพ่อแม่ลูกอีกต่อไป แต่อาจจะประกอบด้วยคำว่า พ่อพ่อลูก หรือ แม่แม่ลูก สถาบันครอบครัวที่เคยมีมาแต่เดิมจะเสื่อมเสียหรือ มีการเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดู จะเข้าใจความหมายของคำว่าครอบครัวในรูปแบบใหม่ว่าอย่างไร และเมื่อเป็นเช่นนั้น สถาบันครอบครัวอันเป็นรากฐานสำคัญของสังคม จะยังคงแข็งแรงเช่นเดิมหรือไม่ มนุษย์จะโดนสังคมใหม่นี้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติดั้งเดิม ในการสืบเผ่าพันธุ์ไปเพียงใดถ้าเกิดกรณีที่ว่า เด็กรุ่นใหม่โดนหล่อหลอมว่าตนจะชอบเพศใดก็ได้ ถ้าเราส่งลูกไปเข้าโรงเรียนจะเกิดอะไรขึ้น ลูกชายเราจะไปชอบเพื่อนร่วมห้อง ก็ไม่ผิดนะซิ...

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่คำว่าครอบครัวโดนนิยามใหม่ให้ผิดไปจากธรรมชาติอันแท้จริง และเราไม่อาจรู้หรือควบคุมได้ว่า ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร ในอนาคตภายภาคหน้าผลดีก็มีแต่ผลร้ายก็ไม่อาจมองข้ามได้จริงๆครับ. (ดร.ถังขยะ)

วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2566

ความเห็นผิด!เกี่ยวกับ อธิปไตย ๓

 


...พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเกี่ยวกับอธิปไตย หรือความเป็นใหญ่ 3 ประการคือ อัตตาธิปไตยโลกาธิปไตยธรรมาธิปไตย  แต่มีการตีความผิดไป คือ  

...ตีความผิด

        1. อัตตาธิปไตยคือ การถือตัวเองเป็นใหญ่ อันได้แก่ การยึดถือความคิดของตนเองเป็นศูนย์กลางและต้องการให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องรอบข้างเชื่อถือและทำตามความคิดแห่งตน

        ดังนั้น ผู้ที่ยึดถือแนวคิดนี้ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่ไม่ต้องการให้ใครคัดค้านหรือปฏิเสธความคิดแห่งตน จึงเทียบได้กับผู้นำที่เป็นเผด็จการ หรือลัทธิเผด็จการ

        2. โลกาธิปไตยคือ การถือโลกหรือคนหมู่มากเป็นใหญ่ ผู้ที่ยึดถือแนวคิดนี้จะเห็นด้วยและคล้อยตามกระแสแห่งโลกเป็นหลัก โดยไม่คำนึงว่าจะสอดคล้องกับแนวคิดของตนเอง หรือให้พูดง่ายๆ ก็คือ แล้วแต่กระแสจะพาไป จึงง่ายต่อการเป็นเหยื่อของกระแสโลก

        ดังนั้น จะเป็นคนโชคดีถ้าเผอิญกระแสโลกที่พาเขาไปเป็นสิ่งถูกต้อง และเป็นธรรม ในทางกลับกันอาจเป็นคนโชคร้ายถ้าเผอิญกระแสที่ว่านี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง และก่อทุกข์ให้โทษแก่ตนเอง และสังคมในโอกาสต่อมา

        3. ธรรมาธิปไตยคือ การถือธรรมหรือความถูกต้องเป็นใหญ่ ผู้ที่ดำเนินตามแนวคิดนี้ได้จะต้องประพฤติตนให้อยู่ในทำนองคลองธรรมจนถึงขั้นยกระดับจิตใจให้อยู่เหนือความต้องการอย่างหยาบ ที่จะเป็นต้นเหตุให้เกิดพฤติกรรมทุจริตทางกาย และวาจารุนแรงถึงขั้นผิดศีลธรรมอันเป็นกติการักษาความเรียบร้อยของสังคม หรือที่เรียกว่า นิจศีลหรือศีล 5


ที่ถูกต้องคือ 

...เธอทำตนเองแลให้เป็นใหญ่ แล้วละ อกุศล เจริญกุศล ละกรรมที่มีโทษ เจริญกรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าอัตตาธิปไตย 

...เธอทำโลก ให้เป็นใหญ่ แล้วละอกุศล เจริญกุศล ละกรรมที่มีโทษ เจริญกรรมที่ไม่มี โทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าโลกาธิปไตย

...เธอย่อม สำเหนียกว่า ก็ความเพียรที่เราปรารภแล้วจักไม่ย่อหย่อน สติที่เข้าไปตั้งมั่นแล้ว จักไม่หลงลืมกายที่สงบระงับแล้วจักไม่ระส่ำระสาย จิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมี อารมณ์แน่วแน่ ดังนี้ เธอทำธรรมนั่นแหละให้เป็นใหญ่ แล้วละอกุศล เจริญ กุศล ละกรรมที่มีโทษ เจริญกรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์ ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้เรียกว่าธรรมาธิปไตย


...อธิบายง่ายๆ ได้ว่า " อธิปไตย  ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงมีนัย สรุปคือ

1.   คุณที่เกิดโดยทำตนให้เป็นใหญ่ ชื่อว่าอัตตาธิปไตย

2.  คุณที่เกิดโดยทำชาวโลกให้เป็นใหญ่ ชื่อว่าโลกาธิปไตย

3.  คุณที่เกิดโดยทำโลกุตรธรรม  ให้เป็นใหญ่ ชื่อว่าธัมมาธิปไตย.  


...อธิปไตย  ตามที่ทรงแสดงไว้นั้น มีความหมายแสดงให้เห็นวิธีการในการปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ แต่มีผู้ตีความผิดไปจากพุทธประสงค์กลายเป็น มติที่มีนัยยะการประพฤติที่ไม่ดี ไม่น่าปราถนา และไม่ควรปฏิบัติ เช่น ตีความว่า อัตตาธิปไตย คือ การเอาแต่ใจตนเอง ถือความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เผด็จการ ฯลฯ เป็นต้น 

...ซึ่งการตีความแบบนี้ดูไม่สอดคล้องและไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย . (ด๊อกเตอร์ถังขยะ)

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2566

การเมืองบนเส้นทางใหม่

 


….เมื่อประเทศเดินทางมาถึงยุคที่พลเมืองทุกคนต้องเข้ามาช่วยกันเลือกเส้นทางใหม่ผ่านมุมมอง ความคิดของตนตามวัยของแต่ละคน การพูดแสดงความคิดเห็นทางการเมือง สามารถที่จะทำที่ไหน เวลาใด ก็ได้วันนี้จึงขอยกคำวลี  หนึ่งที่เขียนเอาไว้ว่า 

นกบางตัวไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ในกรง เพราะขนของมันเจริดจรัสจนเกินไป "

...เมื่อก่อนการเมืองมักจะถูกมองว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่และผู้มีอำนาจบางกลุ่ม  เด็กๆเยาวชนจะต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง​ และเขาก็จะได้รับจัดสรรกฎ ระเบียบ กรอบเกณฑ์ต่างๆ มากมายเสียจน กลายเป็น การลดทอนความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการอันเจริดจรัสทางการเมืองลงเหลือเพียง การดำเนินชีวิตตามโปรแกรมคำสั่ง ต้องการให้ทำอะไรก็ออกคำสั่ง แล้วเราก็ทำตามโดยไม่เคยมีคำถาม ใครปฏิบัติตามได้สังคมก็จะบอกว่า "เธอเป็นคนดีแต่หากมีใครก็ตามพยายามคิดนอกกรอบ แหกกฏ หรือขบถต่อกฎเกณฑ์ขบธรรมเนียม เขาก็จะกลายเป็นคนเลว และถูกประณามจากสังคม

...ชีวิตแห่งการเมืองในแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างจาก การเขียนโปรแกรมขึ้นมาด้วยคำสั่งชนิดต่าง แล้วป้อนเข้าไปในระบบฮาร์ดแวร์ จากนั้นสมองกลเหล่านั้นก็จะคิดและคำนวณออกมาเป็นผลลัพภ์ที่ถูกต้อง ตรงตามที่ผู้เขียนโปรแกรมต้องการ นี่คือระบบการเมืองไทยแบบเก่าที่ยังคงมีอิทธิพลอยู่ในบ้านเราตอนนี้

..บรรดารัฐบาลทั้งหลายที่ผ่านมาในอดีตก็มักจะมองว่า " การควบคุมประเทศโดยกฏเกณฑ์ต่างๆ  นั้นเป็นเรื่องที่ดี และจำเป็นต้องมีในระบบการเมือง โดยกลุ่มพวกเขาจะพากันร่างต้นฉบับ ระเบียบ แบบแผนออกมาชุดหนึ่งและใช้มัน เสมือนหนึ่งว่า เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใครจะละเมิดมิได้ มีสถานะที่คอยบังคับว่า “ พลเมืองอย่างเราต้องทำอย่างไร ประชาชนต้องพูด ห้ามพูดอะไร " (ตามนโยบาย หรือ ซอฟแวร์ ที่รัฐบาลกำหนดไว้ )

...คำถามที่เหมาะสมสำหรับเรื่องนี้จึงมีว่า " หากมีนักการเมืองคนหนึ่งมาบอกว่า รู้จักประชาชนดีที่สุด รู้จักการเมืองการปกครองดีที่สุดและอาสามาเพื่อลิขิตกฎเกณฑ์ให้ประชาชนทำตาม หรือไม่ให้ทำอะไร ให้ทำอะไรมาก หรือ ให้ทำอะไรน้อย " คุณจะยอมทำตามหรือไม่คงไม่มีมนุษย์คนใดยอมให้เขาทำเช่นนั้นเป็นแน่

...เพราะเหตุว่า พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์นั้นมีมากมายเกินจินตนาการ มีพลังอำนาจที่สามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ต่าง  ได้ยิ่งเสียกว่าตัวนักการเมืองผู้นั้นเองจะคาดไปถึง ขีดความสามารถแห่งสติปัญญาของประชาชนจึงขัดแย้งกับกฎเกณฑ์และกรอบต่าง  ที่นักการเมืองผู้นั้นพยายามจะเขียนและล้อมกรอบเอาไว้เสมอ  และแน่นอนว่า มันจะพยายามทำลายกรอบเมื่อมีโอกาส ซึ่งไม่ใช่ความชั่วร้ายไม่ใช่ความเลว แต่เพราะหัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต มีอิสระและเสรีภาพ มากกว่าที่จะถูกขังไว้ ให้ตายไปอย่างเงียบงัน นั่นเอง ด๊อกเตอร์ถังขยะ)

วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2566

พระพุทธศาสนากับจักรวาลฟิสิกสมัยใหม่



“พระพุทธศาสนากับจักรวาลฟิสิกส์สมัยใหม่” Buddhism and modern cosmic physics


โดย ด๊อกเตอร์ถังขยะ


ในฐานะที่ฉันเรียนและจบมาในด้านปรัชญา และส่วนตัวมีความสนใจ ความสัมพันธ์กันระหว่างจักรวาลวิทยาในพระพุทธศาสนากับจักรวาลฟิสิกส์สมัยใหม่มาตั้งแต่ครั้งยังเรียนปริญญาตรีด้านพระพุทธศาสนา ครั้งแรกที่ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาในพระพุทธศาสนา ทำให้เห็นความสอดคล้องต้องกันระหว่างประสบการณ์ตรงจากภายในของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับความรู้ว่าด้วยจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ที่เพิ่งค้นพบ จนเกิดความสงสัยอัศจรรย์ใจว่าความจริงที่ได้มาจากทั้งสองเส้นทางในระยะเวลาที่ห่างกันหลายพันปีมันเกิดมาตรงกันในหลักการสำคัญๆ ได้อย่างไรซึ่งก็สงสัยตามประสาคนที่ชอบค้นหาความจริงบทความนี้ออกจะยาวสักหน่อย แต่ก็ให้ความรู้เกี่ยวกับจักรวาลวิทยาพอสมควร โดยเปรียบเทียบกันระหว่างคัมภีร์กาลจักร ของทิเบตกับจักรวาลวิทยาฟิสิกซ์ เพื่อให้เห็นความสอดคล้องต้องกันในหลายประเด็น


...คัมภีร์กาลจักรนั้นอ้างว่าหลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วหนึ่งปี ในกลางเดือนสามพระองค์ได้ไปปรากฏที่เขาคิชกูฏและพร้อมกันนั้นก็ได้ส่งกายทิพย์ของพระองค์ไปที่มหาเจดีย์ของเมืองอมราวัตถี (มัทราสที่อินเดียตอนใต้เพื่อแสดงความสำคัญของโพธิวิมุตติด้วยระบบกาลจักราตันตระซึ่งต่อมาได้บันทึกไว้เป็นภาษาสันสกฤต และแพร่ไปถึงทิเบตโดยภิกษุชูลีปะจากนาลันธะกับบัณฑิตที่ชื่อ นารถภัตชาวอินเดีย(ผู้มีชื่อเรียกหากันในทิเบตว่านาโรปะเมื่อปีพ..1026 ต่อมาคัมภีร์ที่เป็นภาษาสันสกฤตเล่มนั้นก็ถูกนำมาแปลเป็นภาษาทิเบตโดยโสมณะภัตที่เป็นศิษย์ของนาโรปะ


คัมภีร์กาลจักรเล่าว่าจักรวาลนั้นจริงๆ แล้วเป็นอนันต์ (infinity) ไม่มีการเกิดการดับแต่จะให้ลูกหลานจากการพองๆ ยุบๆ เรื่อยไปนั่นหมายถึงไม่มีเหตุที่ก่อผล ขณะที่จักรวาลที่มีโลกและสัตว์โลกอาศัยอยู่แห่งนี้เป็นเพียงหนึ่งของจักรวาลที่มีนับจำนวนไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตและมนุษย์รวมทั้งสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดมาจากธาตุห้าธาตุ คือดิน น้ำไฟ ลม และอากาศธาตุ (อากาศธาตุถูกแยกเป็นสองธาตุในบาลีไตรปิฎกของเถรวาทเป็นที่ว่างหรือเรียกซ้ำว่าอากาศธาตุกับวิญญาณธาตุ)โดยมีดิน น้ำ ไฟลมที่ล้วนวิวัฒนาการขึ้นมาจากอากาศธาตุ (space element) เป็นความว่างเปล่า หรือสุญตาเป็นพื้นฐานที่มาคัมภีร์กาลจักรบอกว่าอากาศธาตุนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นความว่างที่ไม่มีอะไรเลยหากจะประกอบด้วย"อนุภาคว่างเปล่า" (empty particles or space particles) ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ให้กำเนิดแก่สสารอนุภาคที่รวมตัวกันเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมโดยที่อนุภาคว่างเปล่าเองก็ประกอบด้วยอนุภาคที่มีความละเอียดอย่างยิ่ง -ละเอียดจนประหนึ่งเป็นความว่างเปล่า - อีกทีและเป็นอนุภาคว่างเปล่านี้เองที่ให้วิวัฒนาการ(ของลม ไฟ น้ำ ดิน)และวิวัฒนาการย้อนกลับ (สลายด้วยการดูดซึมกลับสู่ความว่างเปล่าของดิน น้ำ ไฟลม)ที่ประกอบเป็นรูปกายและพลังงานของจักรวาล (นี้รวมทั้งชีวิตทั้งหลายทั้งปวงหรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า อากาศ (space) และอนุภาคว่างเปล่า (space particles) คือที่มาของกระบวนการทั้งหมดของจักรวาล คำว่าอนุภาคนั้น - ในระบบกาลจักร -ให้ความหมายที่ไม่ได้แปลว่าเป็นสสารเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงศักยภาพ (potentialities) ของความเป็นสสารหรือพลังงานด้วย


ฟิสิกส์จักรวาลวิทยาใหม่ให้ข้อมูลที่อาจชี้บ่งว่าจักรวาลมีจำนวนเป็นอนันต์ (infinity or multiverses) โดยงอก (budding) หรือให้ลูกหลานออกจากจักรวาลแม่ตลอดเวลา ที่ไร้สาเหตุ (non-local) สสารและ/หรือพลังงานรวมชีวิตและมนุษย์วิวัฒนาการขึ้นมาจากอนุภาคเทียม (virtual particles) - ไร้มวลไร้พลังงานชั่วคราวที่ประกอบเป็นความว่างของที่ว่าง (และเวลา) -ที่มีศักยภาพให้อนุภาคจริงๆได้


ระบบกาลจักรบอกว่าการเกิดและการสลายของจักรวาลมีลักษณะเป็นวงจรหรือวัฏจักรที่ประกอบด้วยสี่ระดับหรือสี่ช่วงระยะคือหนึ่ง การเกิดของจักรวาล สอง การตั้งอยู่และการเปลี่ยนแปลงไป สามการสลายตัวของจักรวาล และสี่ ระดับหรือช่วงระยะแห่งความว่างเปล่าเมื่อดิน น้ำ ไฟ ลมสลายและถูกดูดซึมกลับสู่ความว่างและแล้วจักรวาลใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาจากซากของจักรวาลเก่าที่ซ่อนเร้นอยู่ในอนุภาคว่างเปล่านั้น


จักรวาลวิทยาใหม่ชี้บ่งว่าจักรวาลเกิดจากการสั่นสะเทือน (quantum fluccuation) ของพลังงานหลงเหลือจากการสลายตัวของจักรวาลเก่าสู่สภาพว่างทางแควนตัม (quantum vacuum) โดยเริ่มต้นด้วยอนุภาคเทียม ที่จะกลายเป็นอนุภาคจริง (real particle) หรือสสารทีหลัง โดยนักฟิสิกส์ส่วนหนึ่งเชื่อว่ากระบวนการที่เป็นวงจรของจักรวาลวิทยาใหม่ (ขึ้นอยู่กับการหากฎแห่งความเป็นเอกภาพที่ยิ่งใหญ่grand unified theory or GUT ที่รวมกฎทั้งหมดทางฟิสิกส์ให้พบจะประกอบด้วยสี่ช่วงระยะคือ หนึ่งซิงกูลาริตี้เมื่อกฎและสมการทางคณิตศาสตร์ล่มสลายไปทั้งหมดและเกิดการระเบิดที่เรียกกันว่าบิ๊กแบงจากการสั่นสะเทือนของพลังงานหลงเหลือที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าทางแควนตัมที่ว่านั้นสอง การดำรงอยู่ของจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา สามการสลายตัวของจักรวาลบิ๊กครันช์หรือบิ๊กฟรีซ (big crunch or big freeze) โดยการรวมตัวกันของหลุมดำที่อยู่ในใจกลางของกาแล็กซีหรือที่อี่นใด และสี่ความว่างเปล่าทางแควนตัม เมื่อสสารและพลังงาน (ซากของจักรวาลเก่า)ถูกดูดซึมกลับสู่ความว่างนั้น


คัมภีร์กาลจักรยังบอกต่อไปด้วยว่าแม้ว่าจักรวาลนี้เองก็มีความกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่งโดยใช้คำว่าพันล้านเท่าของจำนวนโลก หรือจำนวนของโลกที่คาดคิดไม่ได้ยกกำลังสอง (square untold) ในมัชฌิมจักรวาล (กาแล็กซี)ของเราเองก็มีระบบดาวที่เกิดใหม่และระบบดาวที่ตายไปตลอดเวลาและระบบสุริยะของเราก็เกิดมาด้วยกระบวนการนั้นดาวทั้งหมดรวมทั้งดาวเคราะห์หรือโลกล้วนมีลักษณะทรงกลมแขวนโคจรอยู่ในที่ว่างของอวกาศ (empty space) ฉะนั้น จากคัมภีร์ที่มีในช่วงแรกๆของพุทธศาสนาจึงไม่เพียงแต่กล่าวถึงระบบโลกที่มีมากมาย (multiple world systems) หรือมีมากยิ่งกว่าเม็ดทรายที่เรียงรายอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาเท่านั้นหากยังระบุว่าระบบดาวแต่ละระบบมีการเกิดใหม่และมีการดับสลายตลอดเวลา โดยผ่านวัฏจักร (a cycle of an aeon) สี่ช่วงระยะ หรือสี่ยุค (era)


ว่าไปแล้วโดยหลักการรวมทั้งบางครั้งแม้ในรายละเอียดจักรวาลวิทยาของพุทธศาสนาโดยเฉพาะที่บันทึกไว้ในกาลจักราตันตระนั้นไม่ได้มีความแตกต่างจากจักรวาลวิทยาที่ตั้งบนฟิสิกส์ใหม่หรือวิทยาศาสตร์ใหม่ในปัจจุบันเลยก็ว่าได้นั่นคือจักรวาลทั้งหลายทั้งปวงนั้น ไม่มีการเกิดและการดับอย่างสิ้นสูญไปจริงมีแต่การไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงไปไม่รู้จบ นักฟิสิกส์ยุคใหม่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มักเชื่อในหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างที่มิชิโอะ กากุ กล่าวว่า จักรวาลมีความเป็นอนันต์ (multiverses) - เกิดใหม่และดับสลายไป - แบบไม่มีความจบสิ้นโดยมีจักรวาลของเราเฉพาะจักรวาลที่มนุษย์เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้เป็นหนึ่งในนั้นยิ่งไปกว่านั้น มิชิโอะ กากุยังกล่าวต่อไปว่าพุทธศาสนาบอกว่าจักรวาลไม่มีเกิดไม่มีดับเป็นวัฏจักรของวิวัตตาและสังวิวัตตา  มีบิ๊กแบงที่ไม่มีการจบสิ้น  นั้น ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องเพราะพุทธศาสนาหมายถึงจักรวาลที่เป็นทั้งหมด (multiverses) จึงไม่มีความจบสิ้นส่วนศาสนาอื่น เช่น คริสต์ศาสนาที่บอกว่ามีการสร้างจักรวาลนั้นก็เป็นเรื่องถูกต้องอีกเหมือนกัน เพราะเป็นการกล่าวถึงเฉพาะจักรวาลนี้หรือจักรวาลของมนุษย์ที่มีการสร้างขึ้นหลังจากที่มีการระเบิดบิ๊กแบงเพียงครั้งเดียว


อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากจักรวาลแห่งรูปกายและปรากฏการณ์ที่ดูจะตรงกันระหว่างข้อมูลของกาลจักราตันตระกับข้อมูลจักรวาลวิทยาใหม่ในทางวิทยาศาสตร์แต่เนื่องจากหลักการและวิธีการของวิทยาศาสตร์ต้องจำกัดตัวเองโดยการพิสูจน์ในห้องทดลองและ/หรือสนับสนุนด้วยสูตรและสมการทางคณิตศาสตร์ผ่านประสาทสัมผัสภายนอกที่รับรู้ด้วยจิตรู้อีกทีดังนั้น วิทยาศาสตร์จึงต้องทิ้งเรื่องของจิต(consciousness) หรืออย่างดีสามารถแตะได้เพียงบางส่วนบางตอน (ของ mental pathway) ที่เล็กน้อยเท่านั้นทำให้เรื่องของจิตส่วนใหญ่โดยเฉพาะเรื่องจิตวิญญาณจะดำรงอยู่นอกวิทยาศาสตร์ในขณะที่ศาสนารวมทั้งระบบกาลจักรอธิบายเรื่องของจิตจากประสบการณ์ภายในของผู้ปฏิบัติศาสนาถึงระดับวิมุตติประสบการณ์ที่สาธารณชนคนทั่วไปจะต้องเลือกว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อฉะนั้นเองเรื่องของจิตทั้งกระบิสติ เวทนา สัญญา  รวมทั้งจิตรู้ ที่ประกอบเป็นความคิดมโนทัศน์ทั้งหลายทั้งปวงที่ส่วนหนึ่งวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาหรืออธิบายดังที่กล่าวมาข้างบน  และเรื่องของจิตไร้สำนึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกหรือเป็นเรื่องจิตเหนือสำนึกที่เป็นธรรมจิต จึงเป็นประสบการณ์ที่ได้จากเส้นทางภายในหรือศาสนา


พุทธศาสนาและกาลจักราตันตระล้วนพูดถึงความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกำเนิดของจักรวาล(นี้กระทั่งวิวัฒนาการของโลกแห่งสสารและโลกแห่งชีวิต -สัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งมนุษย์ - กับวิวัฒนาการของจิต หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาบอกว่า กำเนิดของจักรวาล (นี้)มีขึ้นมาได้ก็เพื่อให้สัตว์โลกและมนุษย์สามารถวิวัฒนาการตามขึ้นมาได้และวิวัฒนาการทางกายภาพมีขึ้นมาก็เพื่อให้จิตเข้าไปอาศัยอยู่และเรียนรู้โลกเรียนรู้ตัวเองและความสัมพันธ์ระหว่างกันและรวมทั้งการเรียนรู้จักรวาลหรือสัทธรรมความจริงได้ซึ่งตรงกับจักรวาลวิทยาใหม่ที่อธิบายว่าจักรวาลนี้มีขึ้นมาก็เพื่อมนุษย์สามารถมีขึ้นมาได้และสุดท้ายก็สามารถเรียนรู้ตัวเองรู้จักรวาลได้ (cosmological anthropic principle) 

...เพราะฉะนั้นเองจักรวาลวิทยาของพุทธศาสนาจึงพูดถึงกฎหรือกลไกที่บริหารและควบคุมวิวัฒนาการของจักรวาลโลกและภพภูมิต่างๆรวมทั้งสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์และสังคมของมนุษย์ว่า มีอยู่ด้วยกันสองกฎหรือสองกลไกซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กันและกัน นั่นคือ กฎแห่งกรรมกับกฎแห่งการเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน หรือ อิทัปจยตาในขณะที่จักรวาลวิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์จะรู้จักและเน้นเฉพาะประเด็นหลังประเด็นเดียว...

วิเคราะห์เชิงปรัชญา พระอัครสาวก

  พระธาตุพนม บรมเจดีย์                                                                                                                      ...