พุทธจริยศาสตร์ที่มีต่อการกราบไหว้รูปเคารพ
๑. บทนำ
ปัจจุบันชาวพุทธส่วนหนึ่งละทิ้งการปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธศาสนาไปเป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์กราบไหว้ขอพร
หวังผลดลบันดาล เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นพุทธพาณิชย์ในรูปแบบต่างๆ มากขึ้นๆ
ทุกวัน โดยสิ่งที่เกิดมากขึ้นที่สุดคือ การบูชาพระพุทธรูป พระเครื่อง
และของขลังประเภท ตระกรุด ผ้ายันต์ที่ผ่านพิธีกรรมปลุกเสกโดยพระสงฆ์ สิ่งเหล่านี้ถูกมองจากคนบางกลุ่มว่า เป็นสิ่งที่ต้องกำจัดออกไป
ในพระพุทธศาสนามีการสร้างรูปเคารพ เช่น พระพุทธรูป ถือเป็นการแสดงออกถึงความระลึกถึงพระพุทธเจ้า
แต่ด้วยพระพุทธเจ้าไม่ได้ดำรงพระชนม์อยู่แล้ว การจะเข้าเฝ้า กราบไหว้
บูชาพระองค์จริงของพระพุทธเจ้าจึงไม่อาจกระทำได้ ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธบางส่วนจึงนำแนวคิดการสร้างรูปเคารพ
มาสร้างเป็น พระพุทธรูปขึ้น เพื่อเป็นที่สักการบูชาแทนพระพุทธเจ้า ซึ่งแม้จะมีหลักการทางพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงการเคารพบูชาพระพุทธเจ้าว่าเป็นหลักธรรมสำคัญประการหนึ่งใน
คารวะธรรม ๖ ประการ
ได้แก่ สัตถุคารวตา การแสดงความเคารพต่อพระศาสดา คือ พระพุทธเจ้า แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังเป็นประเด็นข้อถกเถียงที่มีการโต้แย้งแนวคิดนี้มาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
และยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ที่ชาวพุทธทั้งสองกลุ่มสามารถยึดถือร่วมกันได้
๒.
แนวคิดพุทธจริยศาสตร์กับการสร้างรูปเคารพ
แนวคิดของพุทธจริยศาสตร์ดั้งเดิม (Early
Buddhist Ethics) มีหน้าที่สำคัญเพื่อค้นหาคำตอบเกี่ยวกับความประพฤติของมนุษย์
เพื่อต้องการทราบว่าการกระทำลักษณะใดของมนุษย์ที่พระพุทธศาสนาจัดว่ามีคุณค่า
เป็นการกระทำดี ถูกต้อง
รวมทั้งหาคำตอบเกี่ยวกับอุดมคติหรือเป้าหมายสูงสุดของชีวิตว่าคืออะไร เป็นอย่างไร
และพยายามค้นหากฎเกณฑ์ในการตัดสินการกระทำของมนุษย์นั้น การสร้างพระพุทธรูปถือเป็นแนวคิดทางพุทธจริยศาสตร์ประการหนึ่งที่บรรดาผู้สร้างมีเป้าหมายเพื่อทำให้ชาวพุทธมีสัญลักษณ์เตือนใจให้ได้เจริญพุทธานุสสติ
คือ การตรึกระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระคุณต่างๆของพระองค์
เช่น ทรงเป็นผู้ตรัสรู้แล้วละกิเลสได้ เรียกว่า
“อรหํ” แปลว่า “ผู้ไกลจากกิเลิศทั้งมวล
“หรือ “พุทโธ” หรือแปลทับศัพท์ว่า
“พระพุทธเจ้า” ทรงมีความเพียบพร้อมไปด้วยวิชชาและจรณะ
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันล้ำเลิศ และทรงมีพระเมตตาและเกื้อกูลประโยชน์สุขต่อมนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งปวง
กล่าวคือ ทรงเป็นผู้เปี่ยมล้นด้วยพระพุทธคุณโดยย่อที่สุด
๓ ประการ ได้แก่ ๑) พระปริสุทธิคุณ
ที่ทรงพ้นแล้วจากห้วงทุกข์ทั้งปวงเป็นแม่แบบที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงของมวลมนุษยชาติ
๒) พระปัญญาคุณ ที่ทรงตรัสรู้ความจริงอันประเสริฐ แล้วนำมาเปิดเผยแก่ชาวโลกให้รู้ตาม
๓) พระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงเมตตาช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์
จากแนวคิดดังกล่าวนี้ การสร้างพระพุทธรูปนอกจากเป็นเครื่องระลึกถึงเมื่อได้สักการบูชาแล้ว
ยังสามารถนำมาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนได้ด้วย
การสร้างพระพุทธรูปจึงก่อให้เกิดคุณค่าทางการปฏิบัติซึ่งหมายถึงการส่งเสริมจริยธรรมของผู้คนในสังคมไปโดยปริยาย
พระพุทธรูปจึงไม่เป็นแต่เพียงศิลปกรรมประเพณี อันเป็นผลงานสร้างสรรค์ทางด้านปฏิมากรรมที่ทรงคุณค่าของพระพุทธศาสนาเท่านั้น
แต่พระพุทธรูปยังเป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธปรัชญา
เป็นเครื่องหมายของความเคารพ บูชา
สักการะและเป็นเครื่องเตือนให้ประกอบความดีอีกด้วย
ในพุทธจริยศาสตร์มีคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักการแห่งความดีมากมาย
พระพุทธรูปแม้เป็นเพียงวัตถุ แต่คุณค่ามิได้มีอยู่เพียงความเป็นวัตถุ
หากแต่ยังสามารถเป็นสิ่งสื่อถึงหลักการแห่งความดีนั้น ๆ ได้ด้วย
แต่แนวคิดนี้ก็มีเงื่อนไขบางประการเกี่ยวกับตัวบุคคล คือบุคคลที่กราบไหว้บูชาจะได้รับประโยชน์ในแง่นี้
ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและหลักธรรมคำสอนของพระองค์เป็นสำคัญเท่านั้น
เพราะข้อเท็จจริงพระพุทธรูปมิสามารถสอนธรรมหรือชี้นำให้ปฏิบัติตนในทางที่ดีได้
แต่กลุ่มผู้สนับสนุนการกราบไหว้รูปเคารพก็ได้ให้เหตุผลสนับสนุนความคิดของตนว่า
พระพุทธรูปสามารถเตือนใจให้ระลึกถึงหลักการความดีที่ได้ศึกษาหรือได้สดับรับฟังมาได้
การมีพระพุทธรูปไว้สักการบูชาจึงเป็นเครื่องมือทางจริยศาสตร์อย่างหนึ่ง
เพราะเป็นแรงจูงใจให้บุคคลมีจริยธรรม โดยหัวใจสำคัญของจริยธรรมในทางพระพุทธศาสนา
คือ การละเว้นความชั่ว การทำความดีและการทำจิตใจให้บริสุทธิ์
ตามหลักโอวาทปาฏิโมกข์นั่นเอง
ยกตัวอย่าง เช่น
เมื่อมีการกระทบกระทั่งกันด้วยวาจาหรือพาดพิงกันในลักษณะโกรธเคืองต่อหน้าพระพุทธรูปในพระอุโบสถ
หากคู่กรณีมีจิตสำนึกที่ดีงามอยู่บ้าง ประกอบกับระลึกถึงพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละเว้นความชั่ว
ก็จะมีสติว่า ต่อหน้าพระพุทธรูปไม่ควรแสดงกริยาที่ไม่ดี
ไม่ควรเบียดเบียน ควรละเว้นวาจาหยาบคายเสีย
แม้ความโกรธเคืองไม่พอใจจะมีอยู่ในภายใน แต่ภายนอกคือพฤติกรรมที่ไม่ดีก็ไม่ควรแสดงออก นี้เป็นลักษณะของความละอายต่อบาปซึ่งมีพระพุทธรูปเป็นแรงจูงใจ
ในกรณีอื่น ๆ ก็เป็นลักษณะเดียวกันคือ เมื่อมีพระพุทธรูปอยู่ในบ้านหรือเห็นพระพุทธรูปในสถานที่ต่าง ๆ
หากบุคคลมีความศรัทธาอย่างจริงใจอยู่เป็นพื้นฐาน ย่อมเป็นเครื่องเตือนและเป็นแรงจูงใจให้ประพฤติธรรมได้เสมอ
ส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นเรื่องสัญลักษณ์ที่เป็นสื่อถึงปรัชญาที่แฝงอยู่ในพระพุทธรูป
เมื่อพิจารณาถึงทัศนะทางปรัชญาของนักปรัชญา เช่น
เฮเกล (Hegel) มีแนวคิดว่า ความงาม คือ
ความจริงที่ฉายจากสิ่งสมบูรณ์ผ่านโลกทางประสาทสัมผัสตามที่จิตของมนุษย์
สามารถเข้าใจได้ ความงามจึงเป็นความจริงที่เรารับรู้ได้ในสิ่งต่าง ๆ
รอบตัวและความงามที่มีสุนทรียภาพคือความงามในศิลปะ ซึ่งศิลปะที่แฝงความหมายของสิ่งที่ต้องการสื่อไว้ด้วยนั้นจัดเป็นศิลปะเชิง
สัญลักษณ์ (Symbolic art) ซึ่งพบได้ในศิลปะทางศาสนาของฮินดู อียิปต์และฮิบรู
ตามทัศนะนี้ประกอบกับสัญลักษณ์ที่ปรากฏในพระพุทธรูป ทำให้สรุปได้ว่า
การสร้างพระพุทธรูปจัดเป็นศิลปะเชิงสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญทั้งต่อผู้สร้าง
ในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสิ่งที่นำมาสู่สุนทรียภาพแก่ผู้พบเห็นหรือได้
สักการบูชา
ซึ่งผู้สร้างเองก็ต้องมีสุนทรียภาพภายในตนและจินตนาการที่แฝงไว้ด้วยความงาม
และความจริงด้วย เพราะฉะนั้นผลงานที่ปรากฏนอกจากจะเป็นเครื่องสื่อถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ความงามและความดี ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงจิตใจ ความรู้
และความสามารถอันน่าชื่นชมของผู้สร้างไปในตัว
และเมื่อผลงานปรากฏก็เกิดผลดีต่อส่วนรวมหรือประชาชนโดยกว้างขวางในฐานะที่
เป็นผู้เสพหรือผู้สัมผัสกับงานศิลปะนั้น ๆ
ซึ่งในขั้นลึกอาจยังนำไปสู่การเข้าถึงธรรมอันแฝงอยู่ในลักษณะสัญลักษณ์ที่
ปรากฏอยู่ด้วยและเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันและมีความ สำคัญดังกล่าวมา
๓. ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการกราบไหว้รูปเคารพ
จากทรรศนะเกี่ยวกับการสร้างพระพุทธรูปนี้
ได้รับการโต้แย้งจากกลุ่มพุทธศาสนิกชนบางกลุ่ม ที่มองว่า พุทธแท้ไม่มีคำสอนให้กราบไหว้พระพุทธรูป
กลุ่มนี้มีแนวคิดว่า พุทธศาสนาที่แท้จริงต้องไม่ไหว้รูปเคารพ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรากราบไหว้ก้อนอิฐ ไม่ได้สอนให้เรายึดติดกับวัตถุ
โดยมองว่าชาวพุทธในปัจจุบันที่ไม่มีความรู้จริงในศาสนาพุทธเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพราหมณ์ฮินดูโดยไม่รู้ตัวคนที่รู้จริงและเข้าถึงศาสนาพุทธจริงๆ
มีประมาณไม่ถึง ๑๐%
ของชาวพุทธทั้งหมด พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้สร้างรูปเคารพและกราบไหว้บูชารูปเคารพต่างๆ
ไม่เคยสอนให้อ้อนวอนขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆให้มาช่วยเหลือ ท่านสอนให้พึ่งตนเอง มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่พึ่ง ชาวพุทธสมัยปัจจุบันทําเกินไปจากคําสอนของพระพุทธเจ้าเสียส่วนใหญ่
พระพุทธเจ้าเคยห้ามไม่ให้บูชารูปเคารพหรือพวกศาลเจ้าที่
พระองค์ทรงให้ธรรมะ เป็นศาสดาต่อจากพระองค์ เพราะฉะนั้น
การที่ต้องไปไหว้พระเจ็ดวัด มันเป็นประเพณีก็จริง
แต่ก็ถือว่าหลงจากหลักคำสอนของพระองค์นั่นเอง เพราะสมัยพระองค์ก็ไม่มีการสร้างรูปหล่ออะไรทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้เกิดจากชาวกรีกที่มาทำหลังจากนั้นนานมาก
แต่เราถูกปลูกฝังให้เคารพรูปหล่อ ตะเวนไหว้พระ
หรือรดน้ำมนต์ซึ่งถูกศาสนาพราหมณ์กลืนเข้ามาหลังจากพระองค์ปรินิพพาน
แถมยังอ้างว่าพระพุทธเจ้าเป็นปรางค์หนึ่งของพระเจ้าในศาสนาตนอีก ทำให้ทุกวันนี้ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาแทนที่จะมุ่งทำความดี
กลับมุ่งสร้างพระให้องค์ใหญ่ๆ เยอะๆ สร้างสถูปใหญ่ ซึ่งกลุ่มนี้ก็ยังยอมรับอยู่ว่า
เป็นเรื่องที่ดีทางวัฒนธรรม แต่เป็นการหลงจากคำสอนของพระองค์
แม้จะเห็นด้วยที่ว่าการไหว้เพื่อระลึกถึงพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่ดี
แต่ก็ค่อนข้างดูเหมือนว่า แม้เวลาจะผ่านไปสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วมนุษย์เราก็ยังแทบไม่พัฒนาเลยในเรื่องความเชื่องมงาย
ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ด้วย ทำให้การเคารพรูปเคารพที่มองว่าเป็นสิ่งที่ดี
แต่สำหรับคนส่วนใหญ่มันเป็นการงมงาย
ผิดจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์ที่ให้เคารพพระธรรมแทนพระองค์ ยกตัวอย่างสมมติว่า ถ้าเราได้ครอบครองพระเครื่องเป็นล้านๆ
จะทำให้เราเป็นคนดีได้หรือไม่ คำตอบก็คือไม่ แต่ทุกวันนี้
คนหลงกับวัตถุที่เรียกว่า พระพุทธรูป แทนที่จะศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ สิ่งนี้เรียกว่าหลงผิด
วัดแทนที่จะเป็นที่เผยแผ่คำสอนที่ถูกต้องของพระพุทธองค์ แต่กลับทำพระเครื่อง ปลัดขิก
กุมารทอง เสกน้ำมนต์แจก ให้พวกที่เรียกตัวเองว่า
พุทธมามะกะเชื่อว่าเป็นสิ่งศักสิทธิ์ ถามว่า พระพุทธองค์เคยทำอะไรแบบนี้ไหม
เคยสอนให้พระสาวกของพระองค์ทำไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ นี่คือการหลง
ถ้าทุกคนสามารถคิดแยกแยะได้ว่าอะไรคือพุทธแท้
เราคงไม่มาแย้งหรอกว่าเป็นหลงหรือไม่
แต่ทุกวันนี้แทบทุกคนที่เข้าวัดก็ยังให้ความสำคัญ กับไหว้พระดัง ไหว้พระให้หวย
ทำบุญก็ต้องทำกับเกจิ แต่วัดต่างจังหวัดบางที่หาคนทอดกฐินยังแทบไม่ได้
พระเครื่องก็ต้องหาดังมาใส่ แทนที่จะเอาธรรมะมาปฏิบัติ
ตั้งแต่เด็กพวกเราก็ถูกสอนให้ท่องบทสวดมนต์เป็นนกแก้วนกขุนทองเป็นภาษาบาลีที่ไม่เข้าใจความหมาย
แต่ไม่เคยปลูกฝังจริงจังให้ปฏิบัติดีตามคำสอนทำยังไง แต่สอนให้ท่องธรรมมะเพื่อสอบให้ได้
เอานักธรรมให้ได้ พระก็เอาแต่หวังสมณศักดิ์ เพราะมีการแบ่งชั้นวรรณะ
ผลของมันคือทุกวันนี้มีแต่ข่าวน่าหดหู่ใจ อย่างเจ้าอาวาสเสพเมถุน เป็นต้น ทุกวันนี้เราจึงถูกบิดเบือนให้ไหว้พระพุทธรูปในฐานะพระเจ้าผู้แสดงอภินิหารสามารถดลบันดารขอได้ทุกสิ่ง
แทนที่จะเคารพพระองค์ในฐานะผู้รู้แจ้งในทางสู่นิพพาน
กลุ่มที่ ๒ ได้โต้แย้งแนวคิดของกลุ่มชาวพุทธที่ไม่ยอมรับการกราบไหว้รูปเคารพ
โดยอธิบายว่าพระพุทธรูปเป็นสิ่งเคารพ เป็นองค์แทนในการระลึกถึงพระพุทธเจ้า
หากไม่เคารพนับถือก็ไม่ควรดูหมิ่น ผู้เขียนเห็นว่าทั้งสองแนวคิดนี้
ล้วนมีฐานการมองศาสนาที่ต่างกัน พระพุทธศาสนาที่แท้ต้องไม่กราบไหว้รูปเคารพเลยจริงหรือไม่
กลุ่มนี้ให้คำตอบว่า ไม่จริง เหตุผลหนึ่งที่กลุ่มดังกล่าวยกมาสนับสนุน คือ พระพุทธศาสนาไม่ได้เป็นศาสนาที่ปฏิเสธการแสดงความเคารพต่อวัตถุ
โดยอ้างว่าแม้ว่าในยุคพุทธกาลหรือหลังพุทธปรินิพพานได้ไม่นาน
ยุคแรกเริ่มของพุทธศักราช ก่อนจะมีการสร้างพุทธรูปขึ้น ในสมัยของพระเจ้ามิลินทร์
แห่งแคว้นคันธาระ จะยังไม่มีการสร้างพุทธรูปก็จริงอยู่
แต่คนที่นับถือพระพุทธศาสนาในยุคนั้น
ก็มีการกราบไหว้วัตถุซึ่งเป็นสิ่งเคารพที่เรียกกันว่า เจดีย์ แล้ว
กลุ่มนี้ให้เหตุผลเป็นข้อสนับสนุนว่า เจดีย์ที่คนพุทธสมัยก่อน
ในชมพูทวีปสักการบูชากัน มี ๓ ประเภท แบ่งเป็น บริโภคเจดีย์ ซึ่งหมายถึงสิ่งของเครื่องเคยใช้สอยของพระพุทธเจ้า
รวมไปถึงต้นโพธิ์ที่เคยประทับนั่งตรัสรู้ ประการหนึ่ง อุเทสิกเจดีย์
ซึ่งหมายถึงสิ่งของที่มีคนสร้างขึ้นอุทิศเจาะจงพระพุทธเจ้า เช่น รอยพระพุทธบาท
หรือพระพุทธรูป ประการหนึ่ง และสุดท้าย ธาตุเจดีย์ คือสถูปที่ใส่พระธาตุคือกระดูกของพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวก
แบบที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ อย่างลังกาในยุคสมัยแรกของการนับถือพุทธศาสนา
และมีการเริ่มต้นบวชภิกษุณี ก็มีหลักฐานปรากฏชัดว่า มีการบูชาต้นโพธิ์
มีการนำหน่ออ่อนเข้ามาปลูกไว้ พร้อมพร้อมกับการประดิษฐานของพระพุทธศาสนา ยุคต่อมาก่อนหน้าจะมีการสร้างพระพุทธรูปนั้นอีก
ก็มีการสร้างรอยพระพุทธบาท
ซึ่งเป็นเครื่องแสดงหลักฐานของการเข้ามาหรือการมีอยู่แห่งพระพุทธศาสนาในพื้นที่นั้นนั้น
นอกจากรอยพระบาทแล้ว ก็ยังนิยมสร้างรูปธรรมจักรและกวางหมอบ
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้า ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้
ล้วนแล้วแต่ใช้เป็นสิ่งเคารพบูชาทั้งสิ้น
กลุ่มที่เชื่อว่าสามารถกราบได้ยืนยันว่า
การกราบไหว้รูปเคารพมีมานานแล้ว แม้แต่ในสมัยพุทธกาลเองก็มี
แต่สัญลักษณ์ของสิ่งแทนความเคารพอาจแตกต่างกันไปตามกาลสมัย
พระเจ้าอโศกเองก็ทรงเคยยอมรับว่า เมื่อเวลาผ่านไป
กำลังแห่งปัญญาของคนก็น้อยลงไปตามด้วย การจะนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย
ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ดังนั้นการสร้างสิ่งแทน จึงเป็นอุบายที่ดีอย่างหนึ่ง แล้วชาวพุทธควรจะมีท่าทีอย่างไรต่อรูปเคารพ
ให้ถูกต้องตามหลักการของศาสนา เพราะถ้าเราไปหลงคิดว่า พระพุทธรูป หรือเจดีย์
หรือต้นโพธิ์ มีค่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ช่วยบันดาลอะไรให้เราได้
พุทธรูปจะมีค่าไม่ต่างจากรูปปั้นตายาย หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่นั่นนี่ ตามศาลเจ้าริมทาง
ที่คนขี่รถผ่านแล้วต้องบีบแตรใส่ มีข้อเสนอวิธีคิดแบบท่านพุทธทาส
ท่านพุทธทาสนี่เคยแสดงปาฐกถาธรรม เรื่องภูเขาปิดกั้นพุทธธรรมว่า ถ้าเข้าใจในพระรัตนตรัยผิด
เข้าใจความหมายของพระพุทธรูปผิด สิ่งเหล่านี้
นี่แหละที่จะปิดกั้นการเข้าถึงหลักคำสอนที่แท้จริงในพระพุทธศาสนาของเรา แต่ถึงท่านจะพูดเรื่องนี้
ท่านก็ไม่ปฏิเสธพระพุทธรูป คือไม่สุดโต่ง
แบบชาวพุทธกลุ่มแรกที่ถึงขั้นว่าให้เผาทิ้ง ตบหน้าพระพุทธรูป แบบนี้สุดโต่ง
ผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวคิดว่าการมีอยู่ของพระพุทธรูป
ไม่ได้มีไว้ในฐานะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือบันดาลพรให้กับคนที่ไปกราบไหว้
แต่มีไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์เครื่องเตือนให้ระลึก เช่นเห็นพระพุทธรูป ก็ระลึกได้ถึงพุทธคุณคือความตื่นรู้ของพระพุทธเจ้า
การเอาชนะความอยาก ความโลภ และความหลง กลุ่มที่สองนี้จึงสรุปความคิดของตนว่า ถ้าเราเข้าใจได้แบบนี้
พุทธรูปจะไม่เป็นอุปสรรคแห่งการเจริญสติเจริญปัญญาของเราเลย
ไม่เป็นภูเขาลูกมหึมาสำหรับปิดกั้นพุทธธรรมอย่างที่ท่านพุทธทาสว่า กลับกันยังจะช่วยอุดหนุนอุปนิสัยให้เรามีความอ่อนโยน
และนุ่มเย็นอีกด้วย พุทธศาสนาของคนที่กราบไหว้บูชารูปเคารพเหล่านี้
ด้วยความเข้าใจในอรรถสาระ ก็ยังเป็นพุทธศาสนาที่ให้ผลได้อยู่ ไม่จำกัดกาล
๔. พุทธจริยศาสตร์ที่มีต่อการกราบไหว้รูปเคารพ
ประการแรก พระพุทธศาสนายึดถือหลักแนวคิดเรื่องการพึ่งตนเอง
พระพุทธศาสนาสอนให้ตนเป็นที่พึ่งของตนเป็นคำสอนในเบื้องต้น
และสอนให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
เป็นสักแต่ว่าทั้งนั้นสุดท้ายมันหมดจดจากกิเลสตัณหา แม้ความเป็นตัวตนของตนก็ไม่มีและการปฏิบัติของศาสนาพุทธนั้นเป็นของสาธารณะ
ใครก็สามารถศึกษาปฏิบัติได้คนพุทธโดยทั่วไปก็กราบไหว้นับถือเทพเทวดา แต่ถ้าเข้ามาศึกษาและปฏิบัติแนวพุทธแล้วก็จะถือพระรัตนตรัยเพียงเท่านั้น
ไม่ถือด้วยความหลงงมงาย
แต่ถือด้วยความเข้าใจว่าคำสอนและหลักปฏิบัติเหล่านั้นทำให้ดับทุกข์ได้จริง ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่า
การกราบไหว้พระพุทธรูปอาจทำให้พุทธศาสนิกชนที่ไม่เข้าใจหลักพุทธศาสนาดีพอ
มีแนวโน้มออกห่างจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น
จนในที่สุดก็จะกลายเป็นหวังพึ่งผลดลบันดาน เช่นเดียวกับการกราบไหว้ผีสาง
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านพุทธทาสได้กล่าวไว้ในหนังสือ คู่มือมนุษย์ ว่า
“คนไม่เคยเห็นเคยฟังพระไตรปิฎกเลย
แต่เคยพิจารณาอย่างละเอียดลออทุกครั้งทุกคราวที่ความทุกข์เกิดขึ้นแผดเผาในใจของตน
นี้แหละเรียกว่า คนที่กำลังเรียนพระไตรปิฎกโดยตรง”
ซึ่งก็เท่ากับว่าแม้ชาวพุทธจะไม่กราบไหว้พระพุทธรูปหรือรูปเคารพเลย แต่ถ้ารู้วิธีที่จะพิจารณาทุกข์
ดับต้นเหตุของทุกข์ และเข้าใจวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ได้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นความถูกต้องตรงตามหลักการของพระพุทธศาสนาแล้ว
แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้หมายความว่า เห็นด้วยกับแนวคิดของกลุ่มที่เชื่อว่าพุทธแท้ไม่มีรูปเคารพ
เพียงแต่ขอเสนอว่า การมีหรือไม่มีพระพุทธรูปไม่ได้ทำให้พระพุทธศาสนาผิดเพี้ยนหรือ
มีผลต่อผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย
การโต้แย้งกันในประเด็นดังกล่าวจึงเท่ากับเป็นการสร้างประเด็นใหม่ขึ้นมา ทั้งๆ
ที่ข้อความในพระไตรปิฎกก็ชัดเจนแล้วว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงให้ยึดติดกับวัตถุสิ่งของใดๆ
มากกว่าการปฏิบัติตามพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วนั่นเอง
ประการที่สอง เรื่องการสอนให้กราบไหว้พระพุทธรูป
ที่ออกจากพระโอฐของพระพุทธเจ้านั้นไม่มี ด้วยเหตุที่ว่า
สมัยนั้นไม่มีการสร้างพระพุทธรูป
และพุทธบริษัทสมัยนั้นถือเอาสิ่งอื่นเป็นที่เคารพแทนพระพุทธเจ้า เช่นรอยพระบาท
พระคันธกุฏิฯ และพระพุทธเจ้าทรงเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตามคำสอนมากกว่าความสำคัญในการบูชาด้วยอามิส
เช่นการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างรูปเคารพ การบูชาพระพุทธรูปแท้จริงนั้น
เกิดหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานหลายร้อยปี ก่อนนั้นคนที่ต้องการจะระลึกถึงพระพุทธเจ้าในแง่ของความมีตัวตนจริงของพระพุทธเจ้า
ก็เดินทางไปสักการะสังเวชนียสถาน คือที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่แสดงธรรมครั้งแรก
และที่พระองค์ปรินิพพาน หรือไม่ก็ทำรูปธรรมจักรเป็นเครื่องระลึกถึงธรรม
ระลึกถึงการแสดงธรรมของพระองค์พระพุทธรูปมาเกิดขึ้นในลำดับหลัง
หลังจากที่ชนชาติที่นิยมทำรูปเคารพได้มานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว การเสนอว่าพระพุทธศาสนาไม่ปฏิเสธการกราบไหว้รูปเคารพนั้นเป็นเพียงการ
นำเอาบริบทของสังคมในปัจจุบันมาเป็นข้ออ้างซึ่งขัดแย้งกับหลักการของพระพุทธศาสนา
ทั้งนี้มาจากการที่คนในปัจจุบันต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตวิญญาณที่สามารถจับต้องได้
แทนที่จะปฏิบัติตามคำสอนที่มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางที่แน่นอน
ซึ่งชาวพุทธที่เข้าใจหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถ่องแท้ก็ได้โต้แย้งไปแล้วว่า
แม้นไม่มีรูปเคารพในพระพุทธศาสนาเลย ก็สามารถปฏิบัติเพื่อเป็นพุทธบูชาได้
พุทธประสงค์ก็ทรงต้องการเช่นนั้น
ประการที่สาม แต่ก่อนการบูชาเป็นเพียงแสดงออกถึงการระลึกถึงพระองค์ ไม่ได้เป็นการอ้อนวอนบนบานศาลกล่าวอย่างที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้เข้าในผิดและทำอยู่
และคนที่เข้าใจผิดเดี๋ยวนี้ก็ทำการบูชาสักการะเกินกว่าที่ควรจะทำ เพราะเหตุใดการบูชาพระพุทธรูป
(บูชาอย่างถูกต้องไม่งมงาย ไม่เกินไปกว่าที่ควรจะบูชา) จึงเป็นสิ่งที่มีมาในศาสนาพุทธ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้สร้างเจดีย์
หรือสถูปแล้วบรรจุอัฐิหรือของใช้ไว้บูชานั้น มี
๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า
๓. พระอรหันต์
๔. พระเจ้าจักรพรรดิ
การบูชาเจดีย์ตามพุทธานุญาต ๔ ข้อนี้ก็บูชาได้
ไม่ผิด แต่การบูชาจนไม่ปฏิบัติตามคำสอนนั้นคือความหลงผิด พระพุทธศาสนาไม่ได้มีคำสอนให้กราบไหว้รูปเคารพแต่อย่างใด
แต่มีคำสอนให้พึ่งตนเอง ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน ทีนี้ถ้ามองในมุมมองของพุทธศาสนิกชนที่รับเอาแนวคิดการกราบไหว้รูปเคารพมาตั้งแต่บรรพชน
พระพุทธรูปที่พวกเขากราบไหว้ คือผู้เป็นศาสดาของศาสนาที่ชาวพุทธทั้งหลายเคารพกราบไหว้
ที่พวกเขากราบไหว้ก็เพราะถือว่า ท่านเป็นครู เป็นอาจารย์เป็นผู้ให้แสงสว่างแก่เรา เพื่อการดำรงชีวิตเช่นเดียวกับที่เรา
ไหว้ครู ไหว้กราบ พ่อแม่
ซึ่งเมื่อมองจากมุมดังกล่าว
จะเป็นการหักหาญน้ำใจกันเพียงใดที่จะมีข้อห้ามในการราบไหว้รูปเคารพเหล่านี้
พระพุทธองค์คงไม่ประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน
เพราะทรงเผยแผ่พระธรรมคำสอนด้วยวิธีการที่ไม่หักหาญความเชื่อดั้งเดิมของเขาแต่อย่างใด
แต่จะทรงแสดงให้เห็นว่า อย่างไหนถึงจะเป็นการกราบไหว้บูชาที่ถูกต้องต่างหาก
ดังเช่นเรื่อง ทิศทั้ง ๖ ก็ไม่ทรงบอกว่าทรงห้ามกราบไหว้ทิศเหล่านั้น แต่ทรงแสดงให้เห็นว่า
ความหมายที่แท้จริงของทิศเหล่านั้นคืออะไร ทำนองเดียวกับเรื่อง
รูปเคารพที่ผู้เขียนเห็นว่า แม้จะมีการกราบไหว้พระพุทธรูป
แต่พระพุทธศาสนาก็ได้ทำหน้าที่อธิบายให้เข้าใจแล้วว่า
พุทธแท้นั้นไม่ได้อยู่ที่องค์พระ แต่อยู่ที่การปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพุทธองค์
ที่ทรงสอนให้พึ่งพาตนเอง ต่างหากเล่า
๕. สรุป
ผู้เขียนจึงเห็นว่าการมีพระพุทธรูปไม่ได้ทำให้ศาสนาแย่ลงหรือบิดเบือนอะไรเลย
สมัยพุทธกาลเวลาพระเถระสำคัญนิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสให้ก่อเจดีย์บรรจุอัฐิให้คนผ่านไปมาสักการะ หรือตอนพระราชาเศรษฐีเมืองสาวัตถีพระอานนท์พระมหาโมคคัลลานะช่วยกันปลูกต้นโพธิ์เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงตอนพระพุทธเจ้าไม่อยู่วัดเชตวัน
ตรงนี้แหละทำให้เราทราบว่า พระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธการกราบไหว้สิ่งของแทนบุคคลเพื่อบูชาคนดี แต่มีพุทธประสงค์ไม่ให้ลุ่มหลง พระองค์ตรัสว่า เจดีย์มีสามอย่างคือ ธาตุเจดีย์ เจดีย์บรรจุพระธาตุ อุทเทสิกเจดีย์ เจดีย์หรือสิ่งของตัวแทนให้ชวนระลึกถึงและบริโภคเจดีย์ เจดีย์บรรจุของใช้ของสอยส่วนตัว พระพุทธรูป ต้นโพธิ์จัดเป็นอุทเทสิกเจดีย์ ทำความเคารพกราบไหว้ได้ เพราะเราไม่ได้ไหว้สิ่งนั้น แต่เราไหว้เพื่อระลึกถึงคุณงามความดีต่างหาก
ในปรินิพานสูตร กล่าวว่า
เมื่อพระพุทธเจ้าล่วงลับไปแล้วให้ทำยังไงกับพระธาตุของท่าน พระองค์ก็ไม่ได้ บอกให้เอาไปโยนทิ้งน้ำ
แต่บอกให้ทำตามประเพณีที่ พระเจ้าจักรพรรดิทำกันคือการสร้าง เจดีย์ บรรจุอัฐิ
ของพระพุทธเจ้า การสร้างรูปเคารพเพื่อบูชา ก็เป็นการทำตามประเพณี
ของการบูชาพระเจ้าจักรพรรดิ การกระทำบ่อยๆ จะส่งผลให้จิตน้อมไปทางกุศล กลุ่มที่อ้างว่าพระพุทธรูปไม่ต้องกราบก็ได้ล้วนแต่ทำให้สะสมนิสัยสอนยาก
ทำไปให้ใจหยาบกระด้าง น้อมไปทางกุศลได้ยาก ตรงข้ามกับกลุ่มที่กราบไหว้พระพุทธรูป
เป็นการสะสมนิสัย ที่อ่อนน้อม ถ่อมตน สอนง่ายซึ่งนำไปสู่การสร้างศรัทธา
ต่อศาสนาพุทธ ต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ง่าย พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการให้ทาน รักษาศีล
ให้ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม ก็เพราะทรงเห็นว่า
หากไม่มีพื้นฐานพวกนี้ การที่ปุถุชนจะกระทำตนให้บริสุทธิ์จนถึงโสดาบัน
หรือแก่นธรรมใดๆ ตามอย่างพระองค์ยิ่งจะเป็นการยาก ซึ่งจะทำตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องเริ่มจากศรัทธาก่อนเป็นเบื้องต้น
ดังนั้นสาระกับพิธีกรรมจึงต้องไปคู่กัน จะทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดาของโลก
พิธีจึงกรรมมีส่วนทำให้ศาสนายืนยาวมาจนปัจจุบัน แม้นักปราชญ์นอกพระพุทธศาสนาบางท่านก็เห็นด้วยกับคำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่องนี้
ขอยกเอาคำพูดของเซนต์ ออกัสตีน (St. Augustine) เป็นตัวอย่าง
เขากล่าวว่า
"เราเข้าใจเพื่อจะได้เชื่อ
และเราเชื่อเพื่อจะได้เข้าใจ บางสิ่งบางอย่างเราไม่เชื่อจนกว่าจะเข้าใจ
แต่ก็มีบางอย่างที่เราจะเข้าใจไม่ได้เลย ถ้าเราไม่เชื่อเสียก่อน
ปัญญาและศรัทธาจึงต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน"
เพราะพระพุทธคุณ เป็นนามธรรม โดยหลักทั่วไปแล้ว
การระลึกถึงสิ่งที่เป็นนามธรรมล้วนๆ สำหรับคนทั่วไปแล้วทำได้ยาก
เหมือนระลึกถึงคุณพ่อคุณแม่ หากจะมีรูปท่านอยู่ด้วยจะให้ความรู้สึกแปลก
คือให้ความซาบซึ้งมากกว่าที่คิดถึงในเชิงนามธรรมล้วนๆ ตามความจริงแล้ว ก็หาได้คิดอยู่เพียงรูปถ่ายของท่านไม่
รูปถ่ายท่านเป็นเพียงสื่อให้คิดได้ดีขึ้นเท่านั้นเอง
แนวคิด การกราบ ไหว้ พระพุทธรูป เจดีย์
แท้จริงแล้วเรากราบไหว้พระพุทธรูปด้วยเหตุผล แม้พระพุทธศาสนาไม่มีแนวคิดในการกราบไหว้รูปเคารพ
แต่ก็ไม่ปฏิเสธหากพุทธศาสนิกชนประสงค์จะกราบไหว้บูชา
เพราะพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมากมายแม้จะสร้างด้วยอะไรก็ตาม หากผู้ไหว้ไม่ติดอยู่เพียงรูปเหล่านั้น รูปเหล่านั้นก็สามารถทำหน้าที่สื่อทางจิตใจเพื่อได้อาศัยรำลึกถึงพระพุทธเจ้า
และพระพุทธคุณได้ การกราบไหว้พระพุทธรูปนั้นก็ไม่เหมือนการกราบไหว้รูปเคารพอย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน เพราะพวกสร้างรูปเคารพประเภทนั้น ผู้ที่ตนนำมาสร้างเป็นรูปไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง
เป็นแต่คิดฝันขึ้น บอกเล่าสืบต่อกันมา ส่วนมากจะเกิดขึ้นจากพวกที่ต้องการประโยชน์
จากความนับถือรูปเคารพเหล่านั้นของคนทั้งหลาย คนนับถือรูปเคารพจึงนับถือ
เพราะการไหว้รูปเคารพ จึงเป็นการกระทำเพื่อ ๑. ประจบเอาใจรูปเคารพเหล่านั้น ไม่ให้ท่านโกรธ ๒. ต้องการอ้อนวอน บวงสรวง
ให้ท่านประสิทธิ์ประสาทสิ่งที่ตนต้องการ และพิทักษ์รักษาตน
พร้อมบุคคลที่ตนต้องการให้รักษา แม้ว่าบุคคลบางคนจะไหว้พระพุทธรูป
เพื่อต้องการของสิ่งที่ตนต้องการบ้าง แต่ไม่มีลักษณะของการประจบเอาใจต่อพระพุทธรูป
เพื่อไม่ให้ท่านโกรธ อย่างที่พวกนับถือรูปเคารพกระทำกัน
พระพุทธรูปจึงไม่เหมือนกับรูปเคารพอย่างที่คนบางคนเข้าใจ”
ที่ผ่านมาพุทธจริยศาสตร์ได้ให้คำตอบเพื่อตัดสินว่า
การกราบไหว้รูปเคารพในพระพุทธศาสนาสามารถทำได้หรือไม่ หรือเป็นแต่เพียงความหลงใหลไปกับวัตถุ
ที่ชาวพุทธยึดติดเอาไว้อย่างเหนียวแน่นอย่างที่พระพุทธองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น
บรรณานุกรม
พุทธทาส
อินฺทปญฺโญ, คู่มือมนุษย์, กรุงเทพมหานคร: บริษัท พิมพ์ดี
จำกัด. ๒๕๕๕.
พระเทพดิลก
(ระแบบ ฐิตญาโณ) ,ตอบปัญหาทางพระพุทธศาสนา
๒, กรุงเทพมหานคร: พิมพ์
เผยแพร่เพื่อ
เป็นพุทธบูชาและธรรมบรรณาการ, พ.ศ. ๒๕๒๒.
วศิน อินทสระ,ตรรกศาสตร์พุทธศาสนา.พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์ธรรมดา,๒๕๔๘.
สื่อออนไลน์,
ธรรมะและศาสนา. https://www.dek-d.com/board/view/3025741/.
สืบค้นเมื่อ
๑๔ เม.ย. ๒๕๖๐.