วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทวิจารณ์หนังสือ "พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง"

บทวิจารณ์หนังสือ
เรื่อง พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง
เขียนโดย สุมาลี  มหณรงค์ชัย

ผู้วิจารณ์ : พระอดิเรก  อาทิจฺจพโล (โลกะนัง)[1]

๑. บทนำ
        หนังสือเรื่อง “พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” เขียนโดย รศ.ดร.สุมาลี  มหณรงค์ชัย[2] เล่มนี้เป็นหนังสือที่ได้รับทุนสนับสนุนการเขียนตำราจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประจำปี ๒๕๔๗ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ธันวาคม ๒๕๔๘ ที่โรงพิมพ์สำนักพิมพ์ศยาม เพื่อนำเสนอมุมมองว่า ความว่าง ทางสายกลาง และการอิงอาศัยกันมีอยู่ของสรรพสิ่ง เป็นหลักคำสอนที่พระพุทธศาสนามหายานทุกนิกายต่างก็นำมาตีความให้ความหมายและถกเถียงกันไปตามมติของคณาจารย์ในแต่ละสำนักอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เพราะพระพุทธศาสนาภายหลังสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นต้นมา ต่างก็ได้รับอิทธิพลจากคำสอนเรื่องดังกล่าว ด้วยกันแทบทั้งสิ้น  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสำนักพุทธในยุคหลังโดยมากจะพัฒนาหลักคำสอนในเชิงปรัชญา ซึ่งทำให้มีการถกเถียงกันถึงความหมายของคำว่า ความว่าง ทางสายกลาง ว่าหมายถึงอะไร สำนักที่มีชื่อเสียงที่สุดที่พยายามแก้ปัญหาที่กำลังถกเถียงกันอยู่นี้คือ สำนักมาธยมิกะ ผู้วางรากฐานคำสอนคือ ท่านนาคารชุนะ มาธยมิกะแปลว่าผู้นับถือคำสอนเรื่องทางสายกลาง มาธยมิกะมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ศูนยตวาท หมายถึงคำสอนที่ประกาศความว่างของสิ่งทั้งหลายเป็นเรื่องสำคัญที่แสดงให้เห็นทางสายกลางตามแนวทางที่สำนักนี้สอน แต่ก็เป็นประเด็นที่สร้างปัญหาในการอธิบายคำสอนของสำนักนี้ด้วย
          คำสอนมาธยมิกะ เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสความขัดแย้งทางความคิด มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อสร้างเหตุผลที่ดีที่สุด สำนักพุทธใหญ่ๆ ที่ได้รับการยอมรับในเวลานั้นส่วนใหญ่จะมีความอธิบายที่ต่างกันในเรื่องนี้ และนั่นนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมสงฆ์ สภาพสังคมชาวพุทธในอินเดียเวลานั้นมีความวุ่นวายสาเหตุเพราะพระภิกษุที่เป็นนักคิดมักจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน และตีความพระธรรมวินัยไปตามจริตของแต่ละคน ทำให้ความเชื่อเป็นไปคนละทิศละทางหาทางปรองดองกันไม่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ชาวพุทธผู้ที่ต้องการแสวงหาที่สุดแห่งความเชื่อหันหลังให้กับศรัทธาที่เคยมีต่อพระธรรมและพระสงฆ์ ทวนเข็มกลับไปสู่การศึกษาเรื่องราวของพระพุทธเจ้ากันใหม่

๒. สรุปสาระสำคัญของเนื้อหา
         หนังสือเรื่อง นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง บทสรุปของหลักการแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบางอย่างแท้จริง สามารถสรุปสาระสำคัญของเนื้อหาแบ่งเป็นสามภาค ดังนี้
สาระสำคัญภาคที่หนึ่ง สุมาลี  มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นสภาพแวดล้อมและหลักคำสอนในยุคก่อนกำเนิดสำนักมาธยมิกะ โดยเริ่มจาก ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวพุทธที่ยอมรับคำสอนว่าด้วยเรื่องของความว่าง ทางสายกลาง และการอิงอาศัยกันและกันมีอยู่ของสรรพสิ่ง ความเป็นมาของสำนักนี้สามารถสืบย้อนขึ้นไปนั้นแต่สมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช(ประมาณ ๒๕๐ ปี หลังพุทธปรินิพพาน)เหตุที่ดลใจให้ปฐมาจารย์ของสำนักคือท่านนาคารชุนะ (๑๕๐-๒๕๐ ปีหลังคริสต์กาล) เขียนงานอธิบายคำสอนว่าด้วยหลักการทางสายกลาง เกิดจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอกได้แก่แนวคิดของสำนักฮินดูโบราณเช่นสาขยะ เรื่อยไปจนถึงอิทธิพลของพระสูตรชิ้นสำคัญ ที่ได้รับการกล่าวอ้างว่าค้นพบโดยท่านนาคารชุนะเอง พระสูตรนั้นก็คือ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ปัจจัยภายในได้แก่ ความขัดแย้งในการตีความหลักธรรมของพระพุทธเจ้า การให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าแทนที่พระธรรมและคำสอนที่เบี่ยงเบนออกจากพระพุทธประสงค์ เหล่านี้นำไปสู่การแสวงหาทางสายกลางในพระพุทธศาสนา เป็นที่น่าสังเกตว่าปัจจัยภายในคือแรงผลักดันอันแท้จริงที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของสำนักมาธยมิกะปัจจัยภายนอกเป็นเพียงแรงเสริมเท่านั้น[3]
ความสนใจในเรื่องราวของพระพุทธเจ้าทำให้ชาวพุทธบางส่วนหันกลับมาขบคิดในสิ่งที่ดูเหมือนตอบไม่ได้ก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะการตีความอาการนิ่งของพระพุทธองค์ นักปราชญ์หลายท่านเชื่อว่า มาธยมิกะ หรือมัธยมกะเกิดจากการอธิบายท่าทีของพระพุทธองค์ที่ไม่ทรงตอบคำถามบางอย่าง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า มีความเห็นมากมายเผยแพร่อยู่ในสังคมตั้งแต่ครั้งพุทธกาล พรหมชาลสูตร กล่าวถึงทิฐิ(คือความเห็น)ทั้งหลายที่นักคิดสอนกันมีจำนวนมากถึง ๖๒ แนวคิด[4] ในบรรดาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับปัญหาบางข้อที่มีผู้ถามพระพุทธเจ้าแต่ไม่ได้รับคำตอบใด พระพุทธเจ้าจะทรงนิ่งไม่ทรงตอบคำถามเหล่านั้น เรียกคำถามเหล่านั้นว่า ปัญหาอัพยากฤต[5]
อาการนิ่งของพระพุทธเจ้าก่อให้เกิดความเข้าใจผิดมากมายในสายตาของคนนอก พระพุทธองค์ทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่รู้จริงบ้าง หรือไม่ก็รู้แต่ไม่มีความสามารถในการแสดงเหตุผลออกมาให้ประจักษ์ แต่ในสายตาของชาวพุทธส่วนใหญ่มองว่าพระองค์ทรงทราบคำตอบดีแต่ไม่ประสงค์จะชี้แจง เหตุผลของการไม่ชี้แจงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธฝ่ายเดิมไม่สนใจ แต่สงฆ์หมู่ใหญ่บางกลุ่มซึ่งต้องการศึกษาเรื่องราวของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังเห็นว่าประเด็นนี้มองข้ามไม่ได้ พวกเขาเชื่อในความเป็นผู้รู้ทุกอย่างของพระองค์ เชื่อว่าพระพุทธองค์รู้ทุกอย่าง ในขณะที่คนทั่วไปรู้ได้เพียงบางอย่าง[6]
ความขัดแย้งในธรรมก็มีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เกิดคำสอนแบบมัธยมกะ เนื่องจากพระพุทธพจน์ในหลายแห่งระบุว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” พระพุทธพจน์นี้ก่อให้เกิดความใคร่รู้ว่าจะต้องเห็นธรรมแบบใดจึงหยั่งถึงพระพุทธเจ้าได้ ยิ่งกว่านั้น พระพุทธโอวาทในช่วงท้ายของพระชนม์ชีพระบุไว้ชัดถึงกาลภายหน้า ภิกษุจะมีพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดาสืบต่อจากพระองค์[7] ทำให้ชาวพุทธในยุคต้นมหายานพยายามขบคิดว่า “ธรรม” ที่พระพุทธเข้าทรงให้ความสำคัญเทียบเท่าพระองค์นั้นหมายถึงอะไร ทั้งหมดนี้คือตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดคำสอนแบบมัธยมกะ ปัจจัยภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของสำนักนี้คงไม่มีอะไรโดดเด่นกว่าคำสอนปรัชญาปารมิตากับสำนักฮินดูที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น ซึ่งก็คือสำนักสางขยะ
สำนักสางขยะ[8] ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในบรรดาหกสำนักปรัชญาฮินดู ไม่นับถือพระเจ้า อีกทั้งมีคำสอนเชิงปรัชญาชั้นสูงคล้ายคลึงกับที่นักปราชญ์พุทธสอนอยู่หลายประการ ทำให้เราไม่อาจมองข้ามความสำคัญ ปัญหาที่สำนักสางขยะประสบก็เป็นปัญหาเดียวกับที่ท่านนาคารชุนะชี้ให้เห็นในฝั่งของพุทธศาสนา เพียงแต่หน้าที่ในการวิพากษ์สำนักนอกพุทธส่วนใหญ่จะตกอยู่ที่ท่านอารยเทวะ ซึ่งเป็นศิษย์เอกและผู้วางหลักการสายกลางร่วมกับพระนาคารชุนะ กล่าวโดยสรุป มูลเหตุที่ก่อให้เกิดคำสอนมัธยมกะได้แก่ สำนักพุทธที่มีคำสอนสนับสนุนความจริงที่สุด แบ่งย่อยออกได้อีกสองกลุ่มคือ
กลุ่มแรกเน้นความจริงที่อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของจิตเรียกว่า สำนักฝ่ายอภิธรรมหรือพวกสัจนิยม สำคัญๆ คือ สรวาสติวาทะ กับ เสาตรานติกะ
กลุ่มที่สองเน้นความจริงที่อยู่พ้นการรับรู้ของจิต เรียกว่าพวกโลโกตตรวาทะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงฆ์หมู่ใหญ่หรือ มหาสังฆิกะ
ทั้งสามกลุ่มล้วนเป็นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของการทำให้คำสอนพุทธเป็นสัมบูรณนิยม(Absolutism)[9]
ด้วยเหตุว่ามัธยมกะเป็นคำสอนที่มุ่งแก้ไขความเห็นผิดอันเป็นทางสุดโต่งทั้งหมดนักปราชญ์หลายท่านจึงยกย่องให้คำสอนของสำนักนี้(โดยเฉพาะของท่านนาคารชุนะ) เป็นหัวใจของพุทธปรัชญา ท่านมีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อพุทธศาสนา เพราะช่วยล้างความอ่อนแอ (แก้ความเข้าใจผิด) ให้กับรากแก้วทางปัญญาสองกระแสหลักของอินเดีย คำสอนของท่านคือทางสายกลางที่พ้นไปจากทางสุดโต่งของทั้งอัตตาและอนัตตา ศูนยตาคือการหลุดพ้นจากกรอบของขั้วสุดโต่งทั้งสองทาง[10]
สาระสำคัญภาคที่สอง สุมาลี  มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นหลักคำสอนสำคัญๆ ของพระนาคารชุนะไว้พิจารณา ๕ ประเด็นคือ (๑) วิภาษวิธี (๒) การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง (๓) ความจริงสองระดับกับความว่าง (๔) ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง และ (๕) อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ
ประเด็นที่ ๑ วิภาษวิธี (Dialectic) คำว่า วิภาษวิธี หมายถึงการดำเนินการอภิปรายหรือโต้วาทีเป็นกระบวนการทางความคิดที่นำไปสู่การตระหนักรู้อย่างแจ้งแจ้งถึงข้อจำกัดของเหตุผล[11] โดยทั่วไปการเคลื่อนไหวทางความคิดในลักษณะนี้มักจะดำเนินไปในสองรูปแบบ กล่าวคือ (๑) เพื่อปฏิเสธหรือวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดอื่นเป็นหลัก วิภาษวิธีถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์เพื่ออภิปรายหรือโต้แย้งความคิดผู้อื่น วิธีการเป็นไปในเชิงปฏิเสธหรือหักล้าง (negative/destructive dialectic) (๒) เพื่อแสดงจุดยืนทางความคิดของผู้นำเสนอ โดยพยายามหาบทสรุปหรือเป้าหมายที่เป็นสัจธรรม ในแง่นี้วิภาษวิธีเป็นเครื่องมือที่ใช้ปลูกปัญญาทำให้หยั่งเห็นความจริงในท้ายที่สุด วิธีการจึงเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์กว่าแบบแรก(constructive dialectic)
วิภาษวิธี สามารถถูกมองทั้งในขอบเขตของทฤษฎีความรู้และอภิปรัชญา ในแง่ของทฤษฎีความรู้ วิภาษวิธีเป็นวิธีการที่ใช้ในการถกเถียง โดยบุคคลที่มีชื่อเสียงในการใช้วิธีการเช่นนี้ในทางตะวันตกคือโสกราตีส (Socrates) ขั้นตอนประกอบไปด้วยการทำตัวเป็นผู้ขอความรู้ พยายามตะล่อมถามให้คู่สนทนานิยามหรือแสดงข้อคิดเห็นของเขาออกมาให้ชัดเจน จากนั้นก็ทำให้เห็นว่า จะต้องมีข้อสรุปบางอย่างเกิดขึ้นจากการแสดงความคิดเห็นนั้น ต่อมาก็ชี้ให้เห็นว่าข้อสรุปที่เกิดขึ้นนั้นขัดแย้งกับข้อเท็จจริง สามัญสำนึก หรือข้อความที่ยอมรับกันอยู่ก่อน เป้าหมายก็เพื่อทำให้ข้อคิดเห็นของคู่สนทนาไร้น้ำหนัก ขาดความน่าเชื่อถือ
วิภาษวิธีเป็นทัศนะที่เชื่อว่า ความจริงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง การเปลี่ยนแปลงก่อให้เกิดพัฒนาการที่วางพื้นฐานอยู่บนความขัดแย้งภายใน เริ่มต้นจากความเชื่อว่าทุกสิ่งมีความขัดแย้งภายในเป็นพื้นฐาน ความขัดแย้งนี้ดำเนินไปในสามภาวะคือ ภาวะพื้นฐาน (thesis)  ภาวะแย้ง (antithesis) จนก่อให้เกิดสภาพใหม่ที่เรียกว่าภาวะสังเคราะห์ (synthesis) พัฒนาการของสิ่งทั้งหลายเกิดจากความขัดแย้งแบบนี้ ถ้าไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีสิ่ง ภาวะ หรือคุณภาพใหม่ใดๆ เกิดขึ้น
ยิ่งกว่านั้นวิภาษวิธียังเกิดจากการหยั่งเห็นว่าระบบความคิดทั้งหลายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นความคิดเป็นปรากฏการณ์หรือมายาภาพ ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ได้จากการประจักษ์ตรง ทฤษฎีทั้งหลายในโลกเป็นความจริงที่สร้างขึ้นมาบนฐานของความคิด แม้จะดูน่าเชื่อถือหรือหนักแน่นเพียงไรมันก็ยังเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลสืบสาวหาข้อสรุป (ที่เรียกว่าการอนุมาน) ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ไปยึดถือเป็นจริงเป็นจัง[12] ในการที่จะทำให้บุคคลตระหนักรู้ถึงข้อจำกัดของเหตุผล เบื้องต้นจะนำความเห็นหรือทฤษฎีที่เราต้องการตรวจสอบมาจัดกลุ่มก่อนความคิดหนึ่งๆ ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เมื่อนำมาตีแผ่จะตกลงไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในสี่รูปแบบดังนี้คือ ยืนยัน  ปฏิเสธ ทั้งยืนยันและปฏิเสธ และไม่ใช่ทั้งยืนยันหรือปฏิเสธ ท่านนาคารชุนะจัดระบบการตรวจสอบเหตุผลออกมาเป็นชุด เรียกว่า จตุษโกฏิ ตำราบางเล่มเขียนว่า จตุษโกณะ หรือจตุกโกฏิ ก็มี แปลง่ายๆว่าสี่มุม  (หรือสี่ขั้วความคิดหนึ่งๆ ของเราอาจตกอยู่ในหลายมุมพร้อมๆ กันก็ได้ เช่นเวลาที่เรายืนยันความคิดบางอย่างเราก็อาจจะปฏิเสธความคิดอีกอย่างไปโดยปริยาย) ท่านก็จะแสดงให้เห็นต่อไปว่า ไม่ว่าจะใช้เหตุผลไปในทางยืนยันหรือปฏิเสธ ความคิดของบุคคลนั้นก็จะนำไปสู่ภาวะที่ขัดแย้งตัวเอง ต้องประสบกับความไร้สาระ (absurdity) ของเหตุผลในท้ายที่สุด
ในเวลานั้น เรียกวิธีการเช่นนี้ว่า ปรสังคะ (prasanga – reduction ad absurdum) การชี้ให้เห็นข้อบกพร่องทางเหตุผลของความคิด ไม่จำเป็นที่ผู้ใช้วิภาษวิธีจะต้องนำเสนอความคิดแก้ต่างอะไรออกมา เพียงแค่ชี้ให้คู่กรณีเห็นข้อบกพร่องในทิฐิของเขา ให้เหตุผลของพวกเขาเพื่อตรวจสอบและลดทอนความน่าเชื่อถือของพวกเขาเอง ผู้ใช้วิภาษวิธีไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ทฤษฎีของตัวเอง และที่สำคัญวิภาษวิธี เป็นเครื่องมือตรวจสอบเหตุผล ไม่ได้เป็นทิฐิหรือทัศนะที่จะต้องถูกปกป้องแต่อย่างใด หน้าที่ของเครื่องมือนี้คือทำลายความน่าเชื่อถือของความเห็นทั้งหลาย ทำให้บุคคลที่ติดอยู่ในความเชื่อต่างๆ ต้องจำนนและยอมปลดปล่อยตัวเองจากความเชื่อนั้น[13]
ประเด็นที่ ๒ การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง  ประเด็นนี้สุมาลี มหณรงค์ชัยได้ยกข้อความในคัมภีร์ มูลมัธยมกการิกา ตอนหนึ่งที่ถูกอ้างถึงบ่อยครั้ง ดังนี้ “เราประกาศว่า อะไรก็ตามที่เป็นการอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นมาอยู่ (ปรตีตยสมุตปาทะ) นั่นคือความว่าง นั่นเกิดจากการบัญญัติ และนั่นคือทางสายกลาง” ข้อความนี้นักคิดส่วนใหญ่เห็นร่วมกันว่า เป็นบทสรุปหลักการสำคัญทางพุทธศาสนาที่ท่านนาคารชุนะชี้ไว้ งานเขียนชิ้นสำคัญของท่านนาคารชุนะคือ มูลมัธยมกการิกา เต็มไปด้วยข้อความที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงความจริงแบบที่สุด (นัยยะคือความจริงภววิทยา) ในคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยไม่ผ่านความคิดปรุงแต่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับแก่นสารบางอย่างที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง ยิ่งยืนยันมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าบุคคลนั้นกำลังสรุปความจริงจากความคิด ซึ่งส่วนใหญ่ของความคิดก็มาจากจินตภาพที่จิตสร้างขึ้นจากความเข้าใจและประสบการณ์แบบชาวโลก[14]
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่าการจะอธิบายหลักการของพระนาคารชุนะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องระมัดระวังเรื่องแก่นสารภาวะที่ท่านปฏิเสธเป็นอย่างมาก ทัศนะของบุคคลและกลุ่มชนในระดับโลกิยะทั้งหมดล้วนสนับสนุนแก่นสาร (สวภาวะ) บางอย่างที่สามารถจัดลงในจตุษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้น ทำให้ไม่มีทัศนะใดเป็นที่ยอมรับหรือเรียกได้ว่าถูกต้อง ปัญหาคือถ้าไม่มีทัศนะใดเรียกได้ว่าถูกต้อง ทุกทัศนะต่างก็เป็นมิจฉาทิฐิในแง่ที่ไม่เอื้อต่อความพ้นทุกข์ แล้วสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติว่าเป็นสัมมาทิฐินั้นควรจะถูกเข้าใจว่าอย่างไร เราจะอธิบายสัมมาทิฐิโดยไม่ทำให้มันกลายเป็นทัศนะที่สนับสนุนสวภาวะได้หรือไม่ เพื่อที่จะไม่ทำให้คำสอนของท่านนาคารชุนะประสบปัญหาขัดแย้งตัวเอง สัมมาทิฐิจะต้องไม่ใช่ทัศนะในแบบที่ชาวโลกเข้าใจ อาการนิ่งเงียบของพระองค์ในแง่หนึ่งตีความได้ว่า เป็นการแสดงจุดยืนว่าความเข้าใจของพระองค์ไม่ใช่อย่างเดียวกับนักคิดทั้งหลาย เพราะถ้าใช่ พระพุทธเจ้าคงจะตอบปัญหาของพวกเขาเพื่อสร้างความกระจ่างร่วมกันไปนานแล้ว

ประเด็นที่ ๓ ความจริงสองระดับกับความว่าง สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่า สำหรับชาวพุทธไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด ส่วนใหญ่จะคุ้นเคยกับคำสอนในเรื่องความจริงสองระดับคือสมมติกับปรมัตถ์ บางคนก็นิยมเรียกความจริงโลกิยะกับความจริงโลกุตระ ความจริงสมมติเป็นเรื่องของการสร้างความรู้ความเข้าใจแบบชาวบ้าน มีการบัญญัติชื่อเรียกสิ่งที่ประสาทสัมผัสรับรู้เช่น โต๊ะ สุนัข หรือชายหญิง  ส่วนความจริงปรมัตถ์เป็นความจริงเหนือโลก ข้าพ้นบัญญัติ แต่ปฏิเสธไม่ได้ ความเข้าใจทำนองนี้นำไปสู่ความเชื่อว่าความจริงสองระดับดำรงอยู่แยกขาดจากกัน ในการก้าวสู่ความพ้นทุกข์บุคคลจะต้องแยกโลกิยวิถีออกจากโลกุตรวิถีอย่างเด็ดขาด เนื่องจากโลกเป็นที่รวมแห่งความทุกข์ ความจริงเกี่ยวกับโลกย่อมดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ว่าความสามารถในการก้าวพ้นความจริงสมมติไปสู่ระดับปรมัตถ์ต้องอาศัยปัญญา หากต้องการเข้าสู่ความหลุดพ้นซึ่งเป็นความจริงปรมัตถ์ จำเป็นที่คนจะต้องละทิ้งหรือปล่อยวางความจริงสมมุติทุกอย่าง
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นว่า หากมองเพียงผิวเผิน ความเชื่อข้างต้นไม่ถือว่าผิดหลักพุทธศาสนา ภาพที่ได้จากความเข้าใจ ก็บอกชัดเจนว่าความจริงสองระดับแตกต่างกันแต่ความแตกต่างที่ดูเหมือนตรงข้ามกันนี้เราจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบ แม้ชาวพุทธทั่วไปจะเชื่อว่าความจริงสมมติไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริงๆ เป็นเพียงนามหรือจินตนาการใช้อธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน กระนั้นความเข้าใจที่เกิดจากบัญญัติก็ย่อมเป็นความจริงในระดับสมมติเท่านั้น ถ้าสมมติแปลว่าไม่จริงต้องถูกปล่อยทิ้ง ความรู้ทุกอย่างของคนไม่เว้นแม้แต่เรื่องของความจริงปรมัตถ์ก็ย่อมไม่จริงต้องถูกปล่อยวางหมด[15]

ประเด็นที่ ๔ ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง สุมาลี มหณรงค์ชัยได้สรุปปัญหาที่เกิดกับความเข้าใจปรมัตถธรรมในพุทธศาสนาเกิดจากการยอมรับแก่นสาร (ที่เรียกว่า สวภาวะ) ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม การยอมรับแก่นสารไม่ว่าจะเป็นไปในเชิงยืนยันหรือปฏิเสธล้วนนำไปสู่ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ (ที่เรียกว่า ภาวะ/อภาวะ) ความโน้มเอียงไปสู่ขั้วใดขั้วหนึ่งในสี่มุม (จตุษโกฏิ) เป็นธรรมชาติของปุถุชน ผู้ยึดถือทัศนะตามขั้วใด ขั้วนั้นก็จะกลายเป็นหลักการและเป้าหมายสำหรับพวกเขา ซึ่งวิธีการหรือหนทางสู่เป้าหมายจะได้รับการพัฒนาต่อจากความเชื่อตรงนั้น กรณีดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับคำสอนของลัทธินอกพุทธศาสนาเท่านั้น แม้ภายในกรอบของพุทธศาสนาเราเอง ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจนนำไปสู่การยึดถือทัศนะก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ข้อดีของคำสอนที่อิงอยู่กับความมีอยู่หรือความไม่มีอยู่คือเข้าใจหรือคิดตามได้ง่าย แต่ข้อเสียคือไม่เอื้อต่อการพ้นทุกข์ เพราะความพ้นทุกข์เป็นเรื่องของการปลดปล่อยพันธนาการทุกอย่าง และพันธนาการที่ซับซ้อนและน่ากลัวที่สุดอันหนึ่ง ก็คือความคิดที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของอะไรบางอย่างนี่เอง[16]
สุมาลี มหณรงค์ชัยชี้ให้เราเห็นว่า การจะอธิบายทางสายกลางไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงเป็นเรื่องยากมากๆ และต้องระมัดระวังการสื่อภาษาเป็นอย่างยิ่ง แม้ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่การสนับสนุนแก่นสารภาวะได้แล้ว ความมีกับความไม่มี ในพระสูตรเป็นประเด็นสำคัญที่นักคิดส่วนใหญ่พยายามทำความเข้าใจ ในบางแห่งทั้งคู่จะถูกอธิบายว่าหมายถึงทัศนะที่ยอมรับความที่ยงแท้ถาวร(สัสตทิฐิ)กับทัศนะว่าทุกอย่างสิ้นสูญ(อุจเฉททิฐิ) สัสตทิฐิคือความเห็นว่าโลกและอัตตาเที่ยงอุจเฉททิฐิคือความเห็นว่าตายแล้วขาดสูญไม่ยอมรับการเวียนว่ายตายเกิดจึงปฏิเสธหลักกรรม  พระอรรถกถาจารย์อธิบายเสริมว่าอุจเฉททิฐิเป็นแนวคิดเชิงวัตถุนิยมทำให้คนหมกมุ่นในกามสุข ทั้งสองความเห็นเป็นส่วนหนึ่งของทัศนะมากมายที่เผยแพร่อยู่ในสมัยพุทธกาล[17]

ประเด็นที่ ๕ อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ 
อดีตที่ผ่านมา นักปราชญ์และนักคิดจำนวนมากให้ความสนใจวิเคราะห์งานของท่านนาคารชุนะ โดยเฉพาะคัมภีร์มูลมัธยมกการิกาคำสอนของท่านมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อสำนักพุทธ (เน้นสายมหายาน) ส่วนใหญ่นับจากยุคของท่าน อรรถกถาธิบายคัมภีร์ของท่านก่อให้เกิดคณาจารย์มาธยมิกะผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ได้รับการยอมรับนับถือ มีชื่อเสียงแพร่หลาย และมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก อาทิ ภาววิเวกะ จันทรกีรติ ศานติเทวะ เรื่อยไปถึงศานตรักษิตะ และกมลศีละ ในประเทศจีนคำสอนของท่านก็ส่งอิทธิพลต่อการเกิดขึ้นของสำนักสัทธรรมปุณฑรีกะ อวตังสกะ และธยานะ คณาจารย์คนสำคัญๆ ของสำนักดังกล่าวต่างคุ้นเคยกับหลักการความว่างและทางสายกลางของท่านนาคารชุนะ คำสอนของท่านยากแต่ก็ท้าทายนักคิดทุกยุคสมัย
ผู้เขียนได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อท่านนาคารชุนะไว้ว่า บางครั้งผู้เขียนก็ฉงนใจไม่น้อยที่ข้อเขียนยากๆ ในอดีตจำนวนหนึ่งสามารถท้าทายกลุ่มคนที่มีศักยภาพให้ทุ่มเทชีวิตค้นหาความหมายของมัน ผลงานของคนๆ หนึ่งที่มีประวัติคลุมเครือแต่กลับจุดประกายความคิดและส่งต่อภูมิปัญญาให้กับคนรุ่นลูกหลานไม่รู้จักจบสิ้น ที่สำคัญคือบุคคลที่รับมอบคบไฟแห่งภูมิปัญญานั้น โดยมากจะเป็นปราชญ์และผู้เชี่ยวชาญในการใช้เหตุผลเป็นอย่างยิ่งด้วย หากแยกเรื่องความรู้สึกออกไปเหตุผลที่ทำให้ท่านนาคารชุนะได้รับความสำคัญอยู่ในอันดับต้นๆ เป็นเพราะคำสอนของท่านเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง ที่ผ่านมามีคนมองท่านต่างๆ นาน บ้างก็ว่าท่านเป็นพวกที่ปฏิเสธเหตุผลบ้าง เป็นนักบวชลึกลับที่มีคำสอนสูงส่งเกินเข้าใจบ้าง หาไม่ก็เป็นพวกที่เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นแต่ตัวเองกลับไม่กล้าพอที่จะนำเสนอความคิดอะไรออกมา ข้อโต้แย้งเหล่านี้ได้รับการอธิบายเรื่อยมา ยิ่งพยายามปกป้องงานของท่านมากเท่าใดก็ยิ่งมีคนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันยิ่งวิพากษ์งานของท่านมากเท่าใดก็ยิ่งมีคนปกป้องมากขึ้นเท่านั้น[18]
สาระสำคัญภาคที่ ๓ เป็นการนำเสนอประวัติคณาจารย์คนสำคัญของสำนักมาธยมิกะ ในหนังสือพระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลางเล่มนี้ สุมาลี มหณรงค์ชัย ยังได้นำเสนอพัฒนาการของสำนักมาธมิกะออกเป็นสี่ช่วง ได้แก่
๑.      ยุคของท่านนาคารชุนะและศิษย์สายตรงคือท่านอารยเทวะ
๒.      ยุคของการแตกความคิดและเกิดสำนักย่อยที่นำโดยท่านภาววิเวกะ
๓.      ยุคของท่านจันทรกีรติ
๔.      ยุคของการผสานคำสอนมาธยมิกะเข้ากับโยคาจาระโดยท่านศานตรักษิตะและศิษย์
หากใช้บุคคลเป็นเกณฑ์ พัฒนาการของสำนักนี้จะดำเนินไปตามนี้ สำนัก(หรือสาขา) สองแห่งของมาธยมิกะคือสวาตันตริกะกับปราสังคิกะเกิดขึ้นในยุคที่สอง ถ้านับเป็นเวลาก็ราวสี่ร้อยปีภายหลังการจากไปของปฐมาจารย์ (ประมาณคริสต์ศตวรรษที่หก) ความแตกต่างทางความคิดเกิดจากการตีความคำสอนของท่านนาคารชุนะไม่เหมือนกัน แต่โดยหลักการแล้วทั้งสองฝ่ายต่างเห็นด้วยในจุดยืนเดียวกันคือ ทุกสิ่งอิงอาศัยกันและกันมีอยู่จึงว่าง ความว่างบ่งถึงการไร้แก่นสาร(หรือที่เรียกว่าไม่มีสวภาวะ) สวภาวะเป็นเรื่องของความคิดที่หาไม่พบในประสบการณ์เมื่อสิ่งทั้งหลายว่าง ความจริงสองระดับย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในระดับปรมัตถ์หยั่งเห็นสัจธรรมนี้ย่อมได้ชื่อว่ามีสัมมาทิฐิ หยั่งรู้ทางสายกลางตามแนวทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในยุคที่ท่านนาคารชุนะประกาศคำสอนว่าด้วยทางสายกลางจุดหมายของท่านคือต้องการวิพากษ์หรือชี้ให้เห็นจุดบกพร่องของความเห็น(ทิฐิ) ที่มีอยู่ในเวลานั้น ต่อมาเมื่อนักปราชญ์ชาวพุทธได้อ่านงานของท่านแล้วยอมรับในหลักการ ความเป็นสำนักที่เรียกว่า “มาธยมิกะ” จึงตามมา ช่วงเวลาของแต่ละยุคห่างกันมากกว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนเพราะฉะนั้น ผู้เขียนยังได้เตือนว่า ผู้อ่านต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ลักษณะเด่นอันหนึ่งของคำสอนพุทธ (ซึ่งอาจจะรวมปรัชญาตะวันออกสายอื่นด้วย) อยู่ตรงที่ศาสดาและครูบาอาจารย์ทั้งหลายในยุคเริ่มแรก ท่านเหล่านั้นสั่งสอนโดยไม่ได้ประกาศความเป็นศาสนา (หรือสำนัก) ไม่ได้วางกรอบใดๆ ล่วงหน้าเพื่อชี้จุดยืนของตนเป็นเอกเทศจากผู้อื่น จุดร่วมต่างๆ เช่นศาสนา นิกาย ลัทธิ สำนัก ตลอดจนกลุ่มความเชื่อที่ก่อให้เกิดความแตกแยกเป็นเรื่องของศรัทธาในภายหลัง ทั้งนี้ทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ที่อ้างถึงตรงนี้หมายถึงนักปราชญ์ผู้หยั่งรู้ในสัจธรรม มิใช่ผู้หวังลาภสักการะ ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้พิจารณาดูความน่าเชื่อถือของชาวพุทธที่ภายนอกได้รับยกย่องว่าเป็นครูบาอาจารย์ด้วย ในกรณีของสำนักมาธยมิกะ ผู้รู้ส่วนใหญ่เห็นว่าท่านนาคารชุนะประกาศคำสอนว่าด้วยทางสายกลางเรียกว่า “มัธยมกะ” ส่วนมาธยมิกะเป็นชื่อเรียกกลุ่มของชาวพุทธที่เห็นชอบตามหลักการของท่าน
นาคารชุนะ (นาคารชุน-Nâgârjuna)
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นาคารชุนะมีชีวิตอยู่ในราวคริสต์ศตวรรษที่สอง (ประมาณ ๑๕๐-๒๕๐ ปีหลังคริสตกาล) ท่านถือกำเนิดในตระกูลของพราหมณ์ที่เมืองวิทารภะ (ปัจจุบันเรียกว่า เพราระอยู่ในแคว้นมหาโกศละ)ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับพระเจ้า ยัชญศรี เคาตมีปุตระ หรือ โคตรมีปุตระ/โคตมีบุตร)แห่งราชวงศ์ อานธระ (ตำราของอาจารย์อภิชัยเขียนว่า ศาตวาหนะ) หลักฐานฝ่ายจีนกล่าวว่าท่านมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยเดียวกับพระเจ้ากนิษกะ และพระอัศวโฆษะ( Asvaghosa ) โดยท่านมีอายุน้อยกว่าพระอัศวโฆษะ พระอัศวโฆษะเป็นพระสหายใกล้ชิดกับพระเจ้ากนิษกะ และพระวสุมิตระ(Vasumitra )ซึ่งเป็นอาจารย์คนสำคัญของนิกายสรวาสติวาทะ

๓. ข้อวิจารณ์ 
            ผู้วิจารณ์มีข้อวิจารณ์  ๒ ข้อคือ ๑) รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา  และ ๒) การนำเสนอข้อมูลเนื้อหาในหนังสือ “นาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” ดังนี้
            ข้อ ๑) รูปแบบการนำเสนอเนื้อหา หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นด้านกลวิธีการเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาและการอภิปรายแต่ละประเด็นด้วยหลักตรรกะ ซึ่งมีการอ้างอิงหลักฐานสนับสนุนการอภิปราย เช่น ข้อความในหนังสือต้นฉบับ ทำให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ส่วนจุดที่ควรต้องปรับปรุงแก้ไขก็คือ การใช้ภาษาที่ค่อนข้างจะยากทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานความรู้มาก่อนไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้ ในด้านรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาผู้เขียนควรใช้ภาษาที่เรียบง่ายและไม่ควรที่จะเป็นวิชาการมากนักเพื่อดึงดูดผู้อ่านในระดับพื้นฐานซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลส่วนใหญ่ในสังคม จะทำให้หนังสือ “นาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” เล่มนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
            อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาวิธีการนำเสนอการเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางปรัชญาในหนังสือเล่มนี้ ผู้วิจารณ์เห็นว่า ผู้เขียนเทียบเคียงประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาของสำนักมาธยมิกะกับสำนักสางขยะของอินเดียโดยมิได้บิดเบือนสาระสำคัญของแต่ละทัศนะ จึงทำให้ข้อมูลมีเหตุมีผลและมีความน่าเชื่อถือ อันเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในการคิดและวิเคราะห์สาระของหนังสือเล่มนี้ อย่างไรก็ดีการใช้กลวิธีเทียบเคียงเช่นนี้จะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งผู้เทียบเคียงจะต้องมีความเชี่ยวชาญในปรัชญาทั้งสองและต้องมีใจเป็นกลางในการเทียบเคียงในแต่ละประเด็น เพราะแนวคิดทั้งสองมีภูมิหลังทางวัฒนธรรมและภาษาต่างกัน สอดคล้องกับข้อความในหนังสือมนุษย์กับศาสนาของปรีชา ช้างขวัญยืนและสมภาร  พรมทา ว่า ความเหมาะสมของเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้นย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่าเรากำลังใช้สิ่งนั้นกับอะไร ศาสนาแบบเชื่อถือพระเจ้าอาจเหมาะกับคนในสังคมหนึ่งซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตแบบหนึ่งในขณะที่ศาสนาแบบไม่เชื่อถือพระเจ้าก็อาจเหมาะสมกับคนในอีกสังคมหนึ่งที่มีปัญหาชีวิตที่แตกต่างไปจากผู้คนในสังคมที่นับถือศาสนาแบบเชื่อถือพระเจ้าศาสนาสองประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะที่ไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกัน ทุกศาสนามีเหตุผลในการถือกำเนิดขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะของตนเอง[19]
            ปรีชา ช้างขวัญยืนและสมภาร  พรมทา ยังให้ข้อสังเกตในการใช้วิธีการเปรียบเทียบหลักทางปรัชญาของศาสนาไว้อีกว่า สิ่งแรกที่สุดที่เราควรเข้าใจก็คือ โดยธรรมชาติของสิ่งที่เรียกว่าศาสนานั้นจะมีคำสอนจำนวนหนึ่งในทุกศาสนาที่ไม่สามารถตรวจสอบด้วยวิธีการแบบเดียวกับที่ใช้ในวิทยาศาสตร์กล่าวคือตรวจสอบด้วยประสาทสัมผัสและคำสอนของศาสนาต่างๆ ที่ขัดแย้งกันก็มักจะได้แก่คำสอนส่วนที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้นี้เมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้เราก็ควรยอมรับว่าคำสอนที่ตรงกันข้ามเหล่านี้มีฐานะเท่าเทียมกันในแง่ที่ต่างก็ไม่สามารถพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตนเชื่อจริง มองจากแง่นี้ เนื้อหาของศาสนาที่ตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันเหล่านี้ย่อมมีฐานะเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น[20]
            ข้อที่ ๒) การนำเสนอข้อมูลและเนื้อหาในหนังสือ“นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง”สุมาลี มหณรงค์ชัยนำเสนอข้อมูลประเด็นปัญหาทางปรัชญาโดยการนำหลักพุทธธรรมของสรวาสติวาทะสำนักเสาตันตริกวาทะ และโลโกตตระวาทะบางหลักมาวิเคราะห์ทางปรัชญา และใช้วิธีเทียบเคียงทัศนะของสำนักสางขยะของฮินดู[21] เพื่อชี้ให้เห็นทรรศนะที่มีความแตกต่างกันของแต่ละสำนักซึ่งในที่สุดก็สามารถจัดลงในจุตษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้นดังนั้นความคิดใดๆ ก็ตามที่สนับสนุนภาวะมูลฐานหรือแกนสารสาระ ความคิดนั้นไปไมไดกับเรื่องของเหตุและผล รวมทั้งผูที่ยอมรับความคิดเหลานั้นก็ถือไดวา ไมเขาใจหลัก ความจริงที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอน ดังมีปรากฏในมูลมาธยมิกการิกาเขียนไววา การเกิดขึ้นของภาวะแกนสาร (selfnature) โดยผานเหตุและปจจัย เปนสิ่งที่เปนไปไมได (ไมเหมาะสม) ภาวะแกนสารที่เกิดขึ้นในฐานะเปน ผลลัพธ์ของเหตุและจจัย จะเปนบางสิ่งที่ถูกสรางขึ้น...ใครก็ตามที่หยั่งเห็นภาวะแกนสารในตัวเองหรือสิ่งอื่น ยอมรับภาวะของการมีอยูหรือไมมีอยู เขาผูนั้นหยั่งไมเห็นความจริงในคําสอนของพระพุทธองค[22]  ในด้านเนื้อหาผู้วิจารณ์ประสงค์จะแสดงความคิดเห็นมีด้วยกัน ๓ ประเด็นคือ ๑) ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ  ๒) หลักทางสายกลางในคัมภีร์มาธยมิกะศาสตร์[23] และ๓) ประวัติท่านนาคารชุนะ ซึ่งเป็นเนื้อหาในส่วนสำคัญ ดังนี้
            ประเด็นที่ ๑) ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะผู้วิจารณ์มีความคิดเห็นว่า การนำเสนอมูลเหตุและอิทธิพลที่ก่อให้เกิดคำสอนมาธยมิกะตามที่ผู้เขียนกล่าวไว้นั้นยังขาดข้อมูลที่จำเป็นบางอย่าง เช่น ประวัติของนิกายตรีศาสตร์ ซึ่งนิกายนี้อาศัยศาสตร์ ๓ ปกรณ์ คือ มาธยมิกศาสตร์ ศตศาสตร์ และทวาทศนิกายศาสตร์รวมกันเป็นชื่อของนิกาย โดยมีท่านนาคารชุนเป็นปฐมาจารย์แห่งนิกายนี้ ท่านเป็นผู้ตั้งทฤษฎีศูนยตวาทิน อรรถาธิบายหลักปัจจยาการและอนัตตาของพระพุทธองค์โดยวิธีใหม่ คัมภีร์ที่ท่านรจนามีเป็นจำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ มาธยมิกศาสตร์ นอกจากประกาศแนวทฤษฎีศูนยตาแล้ว ยังได้วิพากษ์นานามติของประดานิกายในพระพุทธศาสนาและมติของปรัชญาฮินดูและเชนได้ด้วย[24] เช่น ความเชื่อในศาสนาฮินดูเรื่องพหุเทวนิยม เกี่ยวผู้สร้าง ผู้รักษา ผู้ทำลาย  โดยเทพเจ้าต่างๆมากมายเช่นพระพรหม  พระศิวะ  พระวิษณุเป็นต้น ซึ่งมีมานานก่อนมีนาคารชุน  สามารถย้อนไปถึงศาสนาพราหมณ์ซึ่งเกิดขึ้นก่อนพุทธศาสนาอีก  นอกจากนี้ยังมีความเชื่อตามปรัชญาอณูพหุนิยม(Atomic Pluralism) ในปรัชญานยายะที่ถือว่า อณูของดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นมูลเหตุของโลกและสรรพสิ่งในโลก  ทัศนะต่างๆเหล่านี้ทำให้นาคารชุนเสนอแนวคิดเรื่องปฏิจจสมุปบาท เพื่ออธิบายการเกิดดับของสิ่งทั้งหลาย  และใช้ศูนยตาเป็นตัวเดินเรื่องพร้อมขยายความด้วยระบบตรรกะ  เมื่อนาคารชุนใช้ศูนยตาในการอธิบายและตอบโต้กับลัทธิต่างๆ  แน่นอนว่าย่อมมีการตีความศูนยตาไปต่างๆนานา  ดังนั้นปิงคลเนตร  จึงกล่าวต่อไปว่าเพื่อไม่ให้ศูนยตาธรรมเกิดความคลาดเคลื่อนไปโดยประการต่างๆ จึงรจนาคัมภีร์มาธยมิกศาสตร์ขึ้นมา อรรถกถาของศาสตร์นี้มีผู้แต่งกันไว้มาก ฉบับที่แปลสู่พากษ์จีนมี ๒ ฉบับเป็นของนีลเนตรและของภาววิเวก ส่วนคัมภีร์ศตศาสตร์นั้นเป็นของอาจารย์เทวะ เป็นหนังสือวิพากษ์ปรัชญาฮินดูทั้งเวทานตะ สางขยะ ไวเศษิกะ นยายะ โยคะ และเชน ไว้อย่างถึงพริกถึงขิง เผยให้เห็นความเลิศเด่นของพระพุทธธรรม[25]
            อย่างไรก็ตามผู้วิจารณ์ไม่พบว่าผู้เขียนได้กล่าวถึงความเสื่อมของแนวคิดศูนยตวาทินในยุคราชวงค์ถัง เมื่อท่านปิฎกธราจารย์เฮียงจัง ประกาศปรัชญาวิชญาณวาทินอยู่ เลยทำให้รัศมีฝ่ายศูนยตวาทินอับลงตราบเท่าทุกวันนี้[26]
            ประเด็นที่ ๒) ปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ ผู้วิจารณ์เห็นว่า ผู้เขียนนอกจากจะยกเอาทัศนะของสำนักต่างๆ เช่น สำนักสรวาสติวาทะ สำนักเสาตันตริกะ สำนักโลโกตตระภาวะ และสำนักสางขยะ มาเขียนอธิบายไว้แล้วยังได้วิเคราะห์ให้เห็นปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ เอาไว้ด้วย ซึ่งแต่ละสำนักก็มักจะมีการยืนยันแก่นสารภาวะและมักจะมีปัญหาเกิดขึ้นหลายประการ ปัญหาเหล่านี้ซึ่งผู้เขียนมีการอธิบายเอาไว้ในตอนของหลักธรรมสำคัญของสำนักมาธมิกะเพื่อแก้ไขทิฐิที่ผิดพลาดเหล่านั้น สุมาลี  มหณรงค์ชัยชี้ให้เห็นหลักคำสอนสำคัญๆ ของพระนาคารชุนะไว้พิจารณาคือ วิภาษวิธี การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง ความจริงสองระดับกับความว่าง ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง ซึ่งในแต่ละประเด็นก็ได้รับการอธิบายชี้แจงและเสนอแนะทางออกให้กับปัญหาเหล่านั้นเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
            ประเด็นที่ ๓) เรื่องประวัติของท่านนาคารชุนะ ที่ผู้เขียนได้นำเสนอในหนังสือยังไม่สามารถยอมรับได้ว่าถูกต้อง เพราะยังมีอีกหลายทัศนะที่กล่าวถึงประวัติของท่านไม่เหมือนกัน ดังเช่น
            ประวัติของท่านนาคารชุนในบันทึกกุมารชีพ (ค.ศ. 344-413) ได้กล่าวไว้ว่า ชีวิตในวัยเยาว์ ท่านนาคารชุนเป็นชาวอินเดียใต้เกิดในสกุลพราหมณ์  มีความจำเป็นเลิศ  จดจำสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว  แตกฉานในศาสตร์หลายสาขา เช่น ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์เป็นต้น ส่วนสาเหตุการบวช  เกิดจากการนำวิชาอาคมไปใช้ในทางที่ผิด ละเมิดสนมนางใน ถูกพระราชารับสั่งไล่ฆ่า จนเพื่อนเสียชีวิตไป ๓ คน ส่วนท่านรอดชีวิตเพราะยืนแอบอยู่ด้านหลังพระราชา และตั้งจิตอธิษฐานออกบวชเพราะเห็นภัยในกามโลกีย์ ชีวิตหลังบวช ท่านได้ออกบวชที่เจดีย์กลางเขาแห่งหนึ่ง ศึกษาพระไตรปิฎกในนิกายสรวาสติวาทแตกฉานภายใน 3 เดือน (ในอินเดียเหนือ)  ภายหลังได้ศึกษาพระสูตรฝ่ายมหายานกับภิกษุชราภาพรูปหนึ่ง  แต่ไม่ปรากฏเนื้อหาที่ชัดเจนว่าศึกษาเรื่องอะไรในพระสูตรมหายาน  ท่านเป็นนักโต้วาที  เดินทางท่องเที่ยวโต้วาทะกับนักปรัชญาต่างๆ ชนะไปทั่วอินเดีย ภายหลังถูกกล่าวหาว่ามิใช่สัพพัญญูเพราะเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า การเป็นศิษย์คือการถามสิ่งที่ยังไม่รู้ จึงได้สถาปนาตนเป็นอาจารย์ เปลี่ยนจีวร  เปลี่ยนวินัยใหม่ และให้ศิษย์ทำตามด้วย ลงสู่นาคมณเฑียร  บันทึกตอนนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ระบุว่านาคได้นำท่านสู่นาคมณเฑียร  เปิดคลังแก้วมณีและหนังสือต่างๆให้ท่านอ่าน  ภายหลังกลับคืนสู่อินเดียใต้เผยแผ่คำสอนมหายานไปทั่วอินเดีย ชื่อเรียก “นาคารชุน”  แม่ท่านให้กำเนิดท่านที่ต้นไม้ชื่อ “อรชุน” และ “นาค” นำท่านไปพบความสำเร็จ จึงได้นามว่า “นาคารชุน”
            นาคารชุนในบันทึก เสวียนจั้ง  ค.ศ. 602-664 ความสามารถด้านการแพทย์  ท่านนาคารชุนเชี่ยวชาญในการปรุงยาอายุวัฒนะ  มีอายุยืนยาวร่วมกับพระเจ้าสาตวาหะ  จนเป็นเหตุให้พระราชโอรสขึ้นครองราชย์ไม่ได้
            นอกจากนี้ยังมีประวัติของนาคารชุนในบันทึกปูสตัน (ค.ศ.1290-1364) ที่เห็นไม่เหมือนกันว่า ชีวิตวัยเยาว์ บิดามารดาทำยัญพิธีขอบุตร ต่อมาได้รับคำทำนายว่าท่านมีชีวิตอยู่ได้เพียง ๗ วัน  ๗ เดือน และ ๗ ปี ตามลำดับ จนในที่สุดได้ออกบวชเป็นสามเณรที่วัดนาลันทา จึงรอดพ้นจากความตาย ส่วนชีวิตหลังบวชของท่านนาคารชุน ท่านได้ไปศึกษากับอาจารย์สรหะและอุปสมบทเป็นภิกษุชื่อศรีมาน มีท่านราหุลภัทรเป็นพระอุปัชฌาย์  ต่อมาใช้วิชาเสกทองคำเป็นค่าภัตตาหารในช่วงทุพภิกขภัย ถูกลงโทษโดยให้ไปบูรณปฏิสังขรณ์อาราม  สร้างเจดีย์  ประเด็นมรณภาพของท่านก็เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมือง โดยพระราชโอรสได้รับคำแนะนำจากพระราชมารดาให้ไปขอประทานศีรษะนาคารชุน เพื่อบริจาคเป็นทานมุ่งสำเร็จในพุทธผล ท่านได้ทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการใช้หญ้าคาเชือดคอ มอบศีรษะให้พระราชกุมาร เมื่อท่านมรณภาพ พระราชบิดาก็สิ้นพระชนม์ด้วย
            ส่วนที่มาของชื่อนาคารชุนะ มีสองนัยคือ สร้างเจดีย์สำเร็จได้เพราะการช่วยเหลือของนาค จึงได้ชื่อว่าอรชุน อีกประการหนึ่ง นาคะ หมายถึงการกำเนิดในโลกแห่งธรรม ไม่สุดโต่ง (ในสัสสตะและอุทเฉทะ) ทำลายมิจฉาทิฐิได้  มีความสำเร็จในการปกครอง อารักขาและบริหารประเทศแห่งพระสัทธรรม จึงได้ชื่อว่า “นาคารชุน” ประเด็นมรณภาพ อันนี้มาจากปัญหาการเมืองเช่นเดียวกับบันทึกเสวียนจั้ง แต่มีต่างกันที่พระโอรสนามว่าศักติมานเป็นผู้ใช้หญ้าคาลงมือสังหาร
            ผู้วิจารณ์เห็นว่าในประเด็นต่างๆเหล่านี้ผู้เขียนควรที่จะค้นคว้าและนำมาเขียนเพิ่มเติมเอาไว้ด้วยเพราะมีความสำคัญพอๆกับหลักทางสายกลางของท่าน เพราะหากประวัติของท่านนาคารชุนะยังคลุมเครือ การที่ผู้เขียนใช้ชื่อหนังสือว่า นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง ก็ย่อมไม่สมบูรณ์ตามไปด้วย แม้ในส่วนของหลักธรรมสำคัญต่างๆ จะได้รับการอธิบายอย่างละเอียดแล้วก็ตาม

๔. สรุปและคำแนะนำ
             กล่าวโดยสรุป  หนังสือ “นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง” เล่มนี้ สุมาลี  มหณรงค์ชัย นำเสนอเนื้อหาโดยการเปรียบเทียบประเด็นปัญหาทางปรัชญากับทัศนะสุดโต่งทั้งสองสาย แบ่งเนื้อหาเป็น ๒ ส่วนคือ ภาคที่ ๑ สภาพแวดล้อมและหลักคำสอนในยุคก่อนกำเนิดสำนักมาธยมิกะ และภาคที่ ๒ หลักคำสอนสำคัญๆ ของพระนาคารชุนะ แบ่งเป็น ๕ ประเด็นคือ (๑) วิภาษวิธี (๒) การอิงอาศัยกันมีอยู่กับความว่าง (๓) ความจริงสองระดับกับความว่าง (๔) ความจริงสองระดับกับทางสายกลาง และ (๕) อิทธิพลคำสอนของพระนาคารชุนะ  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจแนวคิดของพุทธศาสนาชัดเจนขึ้น หนังสือเล่มนี้ จึงมีคุณค่าต่อการศึกษาประเด็นปัญหาทางพุทธปรัชญาสำหรับนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจในพุทธปรัชญาและปรัชญามาธยมิกะของท่านนาคารชุนะ เพราะเนื้อหาในหนังสือให้ทั้งแง่คิด มุมมอง และสาระที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปขบคิดและวิเคราะห์
             ทั้งนี้ผู้วิจารณ์ได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ๓ ประเด็นคือ ๑)ความเป็นมาของสำนักมาธยมิกะ ๒) ปัญหาที่เกิดกับคำสอนของสำนักต่างๆ และ ๓) ประวัติของท่านนาคารชุนะ เพราะผู้วิจารณ์เห็นว่า ในประเด็นต่างๆนี้ควรจะได้รับการขยายความ และเพิ่มเติมเนื้อหาให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยเฉพาะประวัติของท่านนาคารชุนะที่ต้องอ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และทัศนะของนักวิชาการทางพุทธศาสนา ผู้วิจารณ์เห็นด้วยกับผู้เขียนที่กล่าวว่า การจะอธิบายหลักการของพระนาคารชุนะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องระมัดระวังเรื่องแก่นสารภาวะที่ท่านปฏิเสธเป็นอย่างมาก โดยชี้ให้เห็นว่าทัศนะของบุคคลและกลุ่มชนในระดับโลกิยะทั้งหมดล้วนสนับสนุนแก่นสาร (สวภาวะ) บางอย่างที่สามารถจัดลงในจตุษโกฏิข้อใดข้อหนึ่งได้ทั้งสิ้น ทำให้ไม่มีทัศนะใดเป็นที่ยอมรับหรือเรียกได้ว่าถูกต้อง การตีความหลักการของพระนาคารชุนะก่อให้เกิดกระแสต่างๆ ที่เป็นทั้งความขัดแย้งและปัญญาญาณในเวลาเดียวกัน ความสั้นและห้วนของข้อเขียนในอดีตอาจโต้แย้งได้ง่าย หลายคนมองว่าเราไม่สามารถศึกษาคำสอนของพระนาคารชุนะได้โดยไม่ใส่ความเห็นส่วนตัว ซึ่งนั่นก็ถูกในด้านหนึ่ง แต่ความน่าสนใจในงานของท่าน อยู่ตรงที่เราไม่สามารถยึดถือแม้บทสรุปของเราเองในท้ายที่สุด ตรงนี้ถือเป็นหัวใจของความว่างและหลักการสายกลาง หลักที่ถ้าใครหยั่งถึงแล้วความโน้มเอียงไปในทัศนะต่างๆ จะสิ้นสุดลง อคติทางความคิดและเหตุผลจะถูกปล่อยวาง อีกทั้งการแสวงหาทางสายใหม่ก็จะยุติลงด้วย
             หนังสือ “นาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง บทสรุปของหลักการแห่งความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และเบิกบานอย่างแท้จริง” เล่มนี้ จึงมีความเหมาะสมสำหรับคณาจารย์ นิสิตนักศึกษาด้านปรัชญาที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ ที่สำคัญคือ หนังสือเล่มนี้ได้แสดงให้เห็นหลักตรรกวิทยาที่ปรากฏในเรื่องวิภาษวิธี ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้มุมมองเชิงปรัชญา อันจะทำให้นิสิตนักศึกษาเข้าใจหลักคิดและประเด็นปัญหาทางปรัชญา เพื่อต่อยอดความสนใจนั้นไปสู่การวิเคราะห์วิจารณ์ปัญหาเฉพาะเรื่องได้มากยิ่งขึ้น
             นอกจากนี้ หากนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปประสงค์จะเข้าใจประเด็นปัญหาแต่ละส่วนให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ควรทำความเข้าใจหลักการของสำนักมาธยมิกะโดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก มูลมัธยมกการิกาซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของสำนักมัธยมิกะซึ่งเค้าโครงเนื้อหาของคัมภีร์มูลมัธยมกการิกาในภาพรวมทั้งหมด ๒๗ บท ดาวิด เจ. กะลุปะหานะ (David J. Kalupahana)ได้รวบรวมเอาไว้อย่างละเอียด  รวมถึงสำนักภายในพระพุทธศาสนา เช่นสรวาสติวาทะ สำนักเสาตันตริกะ สำนักโลโกตรภาวะและสำนักในปรัชญาอินเดีย เช่น สางขยะ และ สำนักนยายะ และสำนักปรัชญาอินเดียร่วมสมัยอื่นๆ ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือปวงปรัชญาอินเดียของ ฟื้น ดอกบัว สำหรับการทำความเข้าใจหลักธรรมของพุทธศาสนามหายาน ควรอ่านงานของ เสถียร โพธินันทะ เรื่อง “พุทธปรัชญามหายาน” “กำเนิดและพัฒนาการของปรัชญามหายาน”พระศรีคัมภีรญาณ เรื่อง“พุทธปรัชญา” เพื่อเปิดมุมมองของการศึกษาและทำความเข้าใจประเด็นปัญหาเชิงปรัชญาให้มากขึ้น อันจะนำไปสู่ความเจริญทางสติปัญญา และเป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเอง และสังคมประเทศชาติต่อไป.



**************


บรรณานุกรม


มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.พระไตรปิฏกภาษาไทย, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
             ราชวิทยาลัย,๒๕๓๙.
ปรีชา ช้างขวัญยืน สมภาร พรมทา,มนุษย์กับศาสนา,พิมพ์ครั้งที่๔.กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.๒๕๔๒.
ประเวศ  อินทองปาน.พุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก.พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.๒๕๕๓.
ฟื้น  ดอกบัว,ปวงปรัชญาอินเดีย.พิมพ์ครั้งที่ ๒ .กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๕๕.
สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,กรุงเทพมหานคร: ศยาม.๒๕๔๘.
สมภาร พรมทา,พุทธศาสนามหายาน: นิกายหลัก.กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.๒๕๔๐.
เสถียร  โพธินันทะ,ปรัชญามหายาน พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์บรรณาคาร. ๒๕๒๒.

Kalupahana, David J. (1999) Mûlamadhyamakakârikâ of Nâgârjuna. Delhi: Motilal Banarsidass.
                     .(1996) Nâgârjuna : The Philosophy of the Middle Way. Albany : State University of New York Press.
Ramanan,K.V. (1987) Nâgârjuna’s Philosophy. Delhi,Motilal Banarsidass,
Singh, J.(1978) An Introduction to Madhyamaka Philosophy.Delhi,Motilal Banarsidass,




[1] นิสิตปริญญาเอก สาขาวิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
[2] รศ.ดร.สุมาลี  มหณรงค์ชัย ปัจจุบันท่านเป็นหัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะศิลปะศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่สร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการด้านปรัชญาและศาสนาไว้จำนวนมาก
[3] สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,กรุงเทพมหานคร: ศยาม.๒๕๔๘.หน้า๓-๔.
[4] ดูรายละเอียดใน.ประเวศ  อินทองปาน.พุทธปรัชญาในพระไตรปิฎก.พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.๒๕๕๓.หน้า ๕๙-๙๘.
[5] ดูรายละเอียดใน,พรหมชาลสูตร,ที.สี. ๙/๑-๑๔๙/๑-๔๗.
[6] สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,หน้า๗.
[7] ดูรายละเอียดใน.มหาปรินิพพานสูตร, ที.ม. ๑๐/๒๑๖/๑๖๔.
[8] “สางขยะ เป็นลัทธิที่เชื่อกันว่ามีมานานแล้วก่อนพุทธกาล เป็นลัทธิปรัชญาที่มีอายุเก่าแก่กว่าสำนักปรัชญาฮินดูทั้งหลาย หรือลัทธิทั้ง ๖ ซึ่งก็มี มีมางสา เวทานตะ สางขยะ โยคะ นยายะ และไวเศษิกะ ที่ว่าลัทธิสางขยะมีมาก่อนพุทธกาล ก็ดังที่เจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชแสวงหาโมกขธรรมอยู่นั้น ได้เคยเสด็จไปศึกษาในสำนักท่านอาฬารดาบสและอุทกดาบส ซึ่งเป็นคณาจารย์ในลัทธิสาขยะ”, สุนทร ณ รังสี,ปรัชญาอินเดีย: ประวัติและลัทธิ, (พระนคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทาลัย, ๒๕๓๗.หน้า ๒๑๐. อ้างใน,ฟื้น  ดอกบัว,ปวงปรัชญาอินเดีย.พิมพ์ครั้งที่ ๒ .กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๕๕.หน้า ๒๑๓.
[9] ดูรายละเอียดใน.Ramanan,K.V. (1987) Nâgârjuna’s Philosophy. Delhi,Motilal Banarsidass, pp. 53-69. อ้างใน.สุมาลี มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะ กับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง.หน้า.๑๗-๑๘.
[10] สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,หน้า ๑๘.
[11] Singh, J.(1978) An Introduction to Madhyamaka Philosophy.Delhi,Motilal Banarsidass, p, 16.
[12] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๑๑๐.
[13] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๑๑๒.
[14] สุมาลี  มหณรงค์ชัย,พระนาคารชุนะกับคำสอนว่าด้วยทางสายกลาง,หน้า ๑๔๑.
[15] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๑๗๙-๑๘๐.
[16] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๒๑๐.
[17] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๒๑๖.
[18] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๒๓๒.
[19] ปรีชา ช้างขวัญยืน สมภาร พรมทา,มนุษย์กับศาสนา,พิมพ์ครั้งที่๔.กรุงเทพมหานคร: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.๒๕๔๒.หน้า ๒๑๖.
[20] เรื่องเดียวกัน,หน้า ๒๑๗.
[21] ดูรายละเอียดใน.ฟื้น  ดอกบัว,ปวงปรัชญาอินเดีย.พิมพ์ครั้งที่ ๒ .หน้า ๒๑๓-๒๓๗.
[22] ดูรายละเอียดใน.Kalupahana, D.J., (1996) Nâgârjuna : The Philosophy of the Middle Way. Albany : State University of New York Press. pp. 228-234.
[23] ดูรายละเอียดใน. Kalupahana, David J. (1999) Mûlamadhyamakakârikâ of Nâgârjuna. Delhi: Motilal Banarsidass.pp.21-31.
[24] เสถียร  โพธินันทะ,ปรัชญามหายาน พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์บรรณาคาร. ๒๕๒๒.หน้า ๗๑-๗๒.
[25] อ้างแล้ว.
[26] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๗๓.

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อำนาจแห่งความตาย


โดย. พระสมุห์อดิเรก อาทิจฺจพโล 

...ข้อความในคัมภีร์อุปนิษัท(Brihad Upanisads)ของศาสนาพราหมณ์ จารึกไว้ว่า " เมื่อตอนกำเนิดสรรพสิ่ง พระเจ้าได้เกิดขึ้นท่ามกลางความมืดและพบว่าตนเองอยู่เพียงลำพังจึงนึกประหวั่นใจ จึงได้นึกให้มีมนุษย์และสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาเป็นเพื่อน พร้อมสร้างอาหารเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องบรรเทิงใจของพระองค์ ทรงสร้างอะไรต่อมิอะไรตามฉายาของพระองค์ สิ่งหนึ่งที่สร้างขึ้นมาคือ มฤตยู หรือ ความตายคือ กับดักที่ขังสรรพสิ่งเอาไว้ข้างใน ด้วยความมืด ความหิว และความตายนี้เองที่ทำให้สรรพสัตว์ต้องหลงวนเวียนติดอยู่  มนุษย์และสัตว์ที่เกิด แก่ เจ็บ และลงท้ายด้วยความตาย จึงไม่สามารถหนีพ้นไปจากวัฏจักรนี้ไปได้ชั่วนิจนิรันดร์
...ความเชื่อนี้ในคริสต์ศาสนา ชาวคาทอลิก เชื่อว่า “ความตาย” คือภาวะที่ร่างกายและวิญญาณแยกออกจากกัน มนุษย์เกิดมาครั้งเดียว และตายครั้งเดียว เมื่อตาย ร่างกายซึ่งเป็นสสารจะสลายกลายเป็นธุลีตามเดิม ขณะที่วิญญาณซึ่งแยกออกจากร่างกายจะถูกนำไปพิพากษาทันทีตามบาปบุญของตน ชาวคาทอลิกยังมีความเชื่อเรื่องการกลับฟื้นคืนชีพภายหลังความตาย คือ มนุษย์จะถูกตัดสินโทษบาปของตนครั้งแรก เมื่อตายภาวะวิญญาณที่แยกออกจากร่างกาย และถูกนำไปยังสวรรค์ หรือสถานไฟชำระ (นรก) ตามบาปบุญของตนเอง
...แต่ชาวมุสลิมเชื่อว่า ความตาย คือ การกลับสู่ความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าหรือพระอัลเลาะฮ์ ซึ่งเรียกว่า “อายัล” เมื่อชาวมุสลิมทราบข่าวการตายของมุสลิมไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่ก็ตาม ก็จะกล่าวข้อความจากคัมภีร์อัลกุรอานว่า “แท้จริงเราเป็นของอัลเลาะฮ์ และแท้จริงเราเป็นผู้กลับไปหาพระองค์” 
ความตายตามหลักศาสนาอิสลาม ถือว่า มิใช่การดับสูญหรือการสูญเสีย แต่เป็นการเคลื่อนย้ายสถานที่จากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง และถือว่าเนื้อแท้ของมนุษย์มิใช่เรือนร่างอันเป็นวัตถุแต่เป็น “วิญญาณ” (รูห์) ซึ่งยังคงสภาพอยู่ และเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายไปสู่ชีวิตใหม่
...สำหรับพุทธศาสนา ชาวพุทธ มีความเชื่อว่าความตายเป็นการดับของขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูป วิญญาณ สัญญา เวทนา และสังขาร เมื่อขันธ์ 5 ดับ คือกายกับจิตดับลง จุดนั้นเรียกว่าความตาย ในทางการแพทย์ให้ความหมายของความตายว่า “หัวใจหยุดเต้น” หรือ “สมองหยุดทำงาน” จึงจำกัดอยู่เฉพาะทางกาย หรือรูป เท่านั้น ทำให้การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มุ่งเน้นเฉพาะมิติทางกาย แต่ในทางพุทธศาสนา ความหมายของความตาย ไม่ใช่เฉพาะทางกาย แต่ยังรวมถึงการดับลงของจิตด้วย ดังนั้น แนวทางการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในทางพุทธ จึงต้องดูแลครอบคลุมทั้งมิติทางกาย ใจ และจิตวิญญาณ
...เมื่อนำแนวคิดของทั้งสี่ศาสนามาวิเคราะห์และพิจารณาจะเห็นว่า ทุกศาสนามีลักษณะที่แตกต่างและเหมือนกันอยู่หลายข้อ ความเหมือนและความต่างกันนี้มองได้สองด้าน คือ ๑). มีความเห็นว่า ความตายคือ การที่ร่างกายและจิต ดับ  ๒). ความตาย คือ กายสูญสลายแต่จิตจะไปสู่นรกและสวรรค์ตามกำลังบุญและบาป  และ ๓). ความตายคือการเคลื่อนย้ายจากโลกหนึ่งกลับไปสู่พระผู้เป็นเจ้า ที่เหมือนกันก็คือการยอมรับว่ามีจิต นั่นเอง จิตเป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดความตายขึ้น 
....พระพุทธเจ้าทรงยอมรับว่า " เกิด แก่ เจ็บ ตาย" เป็นความทุกข์ยากของมนุษย์ แม้ตายไปแล้วก็ไม่อาจพ้นไปได้ แต่ไม่ทรงยอมจำนนกับความตาย และทรงพิจารณาเห็นถึงเหตุของการเกิด อันเป็นต้นตอของความตายนั้น และทรงค้นพบว่า " ความตายนั้นน่ากลัว หากตายไปโดยไม่รู้ความจริงของชีวิตคืออะไร"
...เพราะไม่รู้ว่าอะไรคือชีวิต และชีวิตควรดำเนินไปอย่างไร เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไรนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายติดกับดักของมฤตยู และไม่สามารถหลุดออกไปได้ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร สุดท้ายก็จบลงด้วยความตาย แล้วความตายนั้นเองก็เป็นเหตุให้ต้องกลับมาเกิดอีกไม่รู้จบสิ้นสักที นี่แหละอำนาจของมฤตยู หรือ ความตาย
 ... ผู้คนส่วนใหญ่ทั่วทั้งโลกนับตั้งแต่อดีตมา ล้วนตกอยู่ในข่ายนี้ทั้งนั้น จะมีเล็ดรอดหลุดออกจากวัฏจักรนี้เพียงไม่กี่ท่าน ทั้งนี้ก็เพราะท่านเหล่านั้นรู้ถึงอำนาจของความตายแล้วอย่างแจ่มแจ้งไร้ข้อกังขาใดๆ จึงรีบเร่งชำระจิตใจของตนเองจนหลุดพ้นไปจากอำนาจความตายได้ แต่ก็มีหลายท่านเช่นกันที่ไปได้เพียงชายขอบของแดนแห่งความตายและพ่ายแพ้ที่ตรงนั้น นั่นเพราะเหตุใดวานท่านทั้งหลายช่วยตอบด้วยแล้วกัน.  

บทความพิเศษ "พระราชมุกดาหารคณี (ยอด ยสชาโต) พระมหาเถระผู้เป็นที่รักของชาวมุกดาหาร"


พระราชมุกดาหารคณี(ยอด ยสชาโต)
...พระราชมุกดาหารคณี (ยอด ยสชาโต) หรือหลวงตายอดมีนามเดิมว่ายอด บรรเทิงใจ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2475 เป็นพระที่ปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดและอบรมสั่งสอนอุบาสกอุบาสิกา เด็ก,เยาวชน และประชาชนทั่วไปให้ปฏิบัติตนเป็นคนดีจนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของศิษยานุศิษย์

...ท่านเจ้าคุณฯเป็นพระมหาเถระที่เป็นที่เคารพสักการะของคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนมาช้านานจนถึงปัจจุบัน" เป็นผู้ให้การอุปถัมภ์พระภิกษุสงฆ์ให้เจริญในพระพุทธศาสนาเป็นพระนักพัฒนาที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่ได้ชื่อว่ามีศีลาจารวัตรที่งดงามซึ่งถ้าจะกล่าวถึงเกียรติคุณของท่านเจ้าคุณฯ นั้นมีมากมายเหลือคณานักและเป็นพระอุปัชฌายาจารย์ของพระอุปัชฌาย์(เป็นพ่อของพ่อ)ผู้ให้กำเนิดพระภิกษุตามพระธรรมวินัย


 ตอนอุปสมบท ผู้ที่ไปตัดปอยผมให้อาตมาเป็นคนแรกก็คือหลวงตายอด นี่แหละครับ ยังจำได้ดี ปีนั้นเป็นปี 2553 พระอุปัชฌาย์พาท่านมาเป็นประธาน ผมจำไม่ได้ว่าเป็นรูปที่เท่าไหร่แต่จำได้ว่า "พวกเราเดินเข่าเข้าไปก้มศรีษะแล้วให้ท่านตัดปอยผมให้ก่อน จากนั้นถึงจะออกมาให้โยมคนอื่นๆ ตัดบ้างแล้วจึงให้พระอาจารย์โกนผม" การบวชครั้งนั้นเป็นการบวชหมู่ใหญ่ในโครงการธรรมทายาท บวช ๑๐๐,๐๐๐ รูปทั่วไทยซึ่งที่มุกดาหารมีพระบวชกันราวๆ ร้อยกว่า ตอนนี้ไม่รู้ว่าเหลือที่ยังเป็นพระอยู่สักกี่รูปแต่ที่แน่ๆ พอครบพรรษาแรกเห็นสึกกันเกือบหมดมีเหลือไม่ถึงสิบรูป 
...ตอนที่เรียนปริญญาตรี คณะพุทธศาสตร์สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ที่วัดศรีมงคลใต้ " นิสิตจะได้อยู่ใกล้ชิดกับท่านเจ้าคุณฯเป็นพิเศษ เนื่องด้วยห้องพักรักษาตัวของท่านอยู่อาคารเดียวกับห้องเรียน"หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ของอาตมา คือ ท่านพระครูประจักษ์บุญญาธร เจ้าคณะอำเภอเมืองมุกดาหาร ในฐานะที่ท่านเป็นผู้คอยดูแลท่านเจ้าคุณฯมาโดยตลอดจะพานิสิตเข้าไปกราบท่านอยู่บ่อยครั้ง
...ก่อนเข้าพรรษาคณะสงฆ์อำเภอคำชะอี "จะเข้าไปทำพิธีสามีจิกรรมพระมหาเถระทุกปีมิได้ขาด"และถือว่าเป็นกิจวัตรที่ต้องกระทำก่อนแยกย้ายกันไปอธิษฐานพรรษาตามวัดของตนต่อไปแม้ในช่วงหลังๆท่านจะไม่สามารถออกมารับสามีจิกรรมได้เพราะอาพาธแต่คณะสงฆ์อำเภอคำชะอีก็ไปทุกปี
                ...ได้ข่าวว่าท่านเจ้าคุณฯสิ้นแล้วด้วยอาการสงบหลังจากที่เข้ารับการรักษาอาการป่วยมายาวนานเมื่อวันที่19 มิถุนายน 2560 เวลาประมาณ 14.05 น.และทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ ในวันที่ 21มิ.ย.60 นี้ ที่วัดศรีมงคลใต้ อ.เมือง จ.มุกดาหาร เวลา 15.00น. นี้


...ก็คงไม่มีสิ่งใดจะสามารถยับยั้งความตายไว้ได้ แม้พวกเราก็หนีไม่พ้นเช่นกันมันเป็นเช่นนั้นเอง บรรดาพระลูกพระหลานก็คงทำได้เพียงขอน้อมนำปฏิปทาอันน่าเลื่อมใสของท่านนั้นเป็นบทเรียนชีวิตอุทิศกายใจรับใช้พระพุทธเจ้าต่อไปดังที่หลวงตาเคยนำพาปฏิบัติมามิให้เสียการพระศาสนา  แม้วันข้างหน้าจะมีอุปสรรคมากมายรออยู่ก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดด้วยจิตใจที่ยึดมั่นในพระรัตนตรัยย่อมผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้นไปได้เหมือนที่หลวงตาได้เคยปฏิบัติจนชนะมาแล้ว..

วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บทความเรื่อง “ธรรมชาติของมนุษย์ในพุทธปรัชญา” The Nature of Human Being in Buddhist Philosophy




 โดย   พระอดิเรก  อาทิจฺจพโล (โลกะนัง)[๑]        

๑. บทนำ
             บทความนี้เป็นการศึกษาเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ที่นับว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และสลับซับซ้อนมากที่สุด หากเราจะถามว่าท่านเข้าใจเรื่องมนุษย์ดีแล้วหรือ ก็คงมีผู้ตอบยืนยันได้น้อยมากเพราะคนเรามักไม่สนใจหรือทำความเข้าใจเรื่องของตนเอง ไม่สนใจปัญหาของตนเองไปสนใจเรื่องอื่นที่อยู่ภายนอกไกลตัว เมื่อสังคมปัจจุบันได้เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีการผลิตวัตถุต่างๆ มาตอบสนองความต้องการของมนุษย์มาก ในส่วนหนึ่งมนุษย์อาจได้รับความสะดวกสบายนั้น อีกด้านหนึ่งสิ่งเหล่านั้นได้เข้าไปมอมเมามนุษย์ ปิดบังไม่ให้มนุษย์เข้าใจตนเองยิ่งขึ้น                                    การศึกษาทำความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่เราเรียกกันในภาษาฝรั่งว่า “The Nature of Human Beings” นั้นจึงสำคัญมาก ก่อนจะไปพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับคน เช่น จริยศาสตร์ ปรัชญาสังคมและการเมืองเป็นต้น ไม่เริ่มที่เรื่องนี้ก่อนจะยุ่ง เช่น มีคนเสนอว่าเราควรปรองดองกัน การปรองดองนั้นเป็นเรื่องดี ก็แปลว่าเรากำลังเสนอหลักจริยศาสตร์อันหนึ่งให้ผู้คนในบ้านเมืองเอาไปพิจารณา แนวคิดเรื่องการปรองดองนั้นเป็นเรื่องดี และจะดีกว่านั้นหากว่าผู้เสนอได้ศึกษาอย่างละเอียดลึกซึ้งแล้วว่าลึกๆ มนุษย์มีธรรมชาติที่จะปรองดองกันในสถานการณ์ที่เหมาะสมบางอย่าง เมื่อศึกษาธรรมชาติของมนุษย์เช่นนั้นแล้ว ต่อมาจึงเสนอหลักการทางจริยศาสตร์อันสอดคล้องกับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ อันนี้เราถือว่าชอบแล้วในทางปรัชญา เพราะการเดินไล่ไปเป็นขั้นๆ[๒]

คำสำคัญ : มนุษย์ ,ธรรมชาติ

๒.  แนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
             ปัญหาอภิปรัชญาที่เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ขั้นแรกนั้น เริ่มจากคำถามว่า มนุษย์คืออะไร จากนั้นก็จะถามไล่ไปเรื่อยๆ ว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ผู้อื่น หรือว่าทั้งสองอย่าง หรือว่าเป็นกลางๆ อะไรเป็นแรงผลักดันให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น  มนุษย์จะหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นได้หรือไม่และอย่างไร ในที่นี้ผู้เขียนได้แยกนักปรัชญาที่นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ออกเป็น ๒ พวก คือ พวกแรกเห็นว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีเฉพาะด้านรูปธรรมที่เกิดจากการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตถ่ายทอดสืบต่อกันไปจากรุ่นสู่รุ่นจนมาเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน ความคิด สติปัญญาของมนุษย์เป็นผลจากส่วนสมองเป็นผู้สั่งการ พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมาล้วนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับสัตว์อื่นๆ ส่วนพวกที่ ๒ มีทรรศนะว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีทั้งด้านร่างกายและจิตวิญญาณ ร่างกายนั้นมีสภาพเป็นวัตถุไม่มีชีวิต แต่ที่แสดงพฤติกรรมต่างๆออกมาเป็นเพราะมีจิตวิญญาณคอยควบคุมบังคับบัญชาให้เกิดการกระทำต่างๆ หากจิตวิญญาณดับลง ร่างกายก็ไม่สามารถจะแสดงพฤติกรรมใดๆ ออกมาได้
             ทรรศนะแรกเป็นมติของนักวิทยาศาสตร์ ที่ได้พยายามศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์นับตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคของการปฏิวัติของชาร์ลส์ ดาร์วิน ผู้วางรากฐานอันมั่นคงให้กับทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ โดยเฉพาะทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติหรือ กลไกของวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ถือได้ว่าเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติวงการวิทยาศาสตร์โลก ซึ่งปรากฏโฉมครั้งแรกในหนังสือ “กำเนิดสปีชี่ส์” ของชาร์ลส์ ดาร์วิน[๓]  การค้นพบครั้งนี้ทำให้โลกตื่นตะลึง จนต้องเปลี่ยนแนวคิดใหม่ต่อการมองโลกของสิ่งมีชีวิต นับตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวไปจนถึงมนุษย์ จากข้อเท็จจริงที่เป็นหลักสำคัญของทฤษฏีวิวัฒนาการ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดาร์วินเน้นหนักไปที่รูปธรรมหรือร่างกายและพฤติกรรมต่างๆ ของสัตว์เป็นส่วนสำคัญ โดยเขาจะพิจารณาเฉพาะพัฒนาการทางด้านรูปร่างลักษณะและพฤติกรรมเท่านั้นเอง ไม่มีการศึกษาถึงอิทธิพลของนามธรรม หรือจิตวิญญาณที่มีต่อสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใดเลย  ดังนั้น การที่ทฤษฎีวิวัฒนาการประเมินค่าของสิ่งมีชีวิตเพียงด้านเดียว คือ เฉพาะทางด้านโครงสร้างของรูปร่าง(พืชและสัตว์) และพฤติกรรมต่างๆ ของสัตว์เท่านั้น ซึ่งก็เท่ากับว่าทฤษฎีนี้ยอมรับการมีอยู่ของสสารวัตถุ หรือรูปธรรมเพียงอย่างเดียว ซึ่งทัศนคติแนวนี้กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์และโต้แย้งอย่างหนักจากผู้ทรงคุณวุฒิในปัจจุบัน[๔]
             ทรรศนะที่สองเป็นมติทางในทางศาสนา พุทธศาสนาและปรัชญาอินเดียแทบทุกสำนัก (ยกเว้นปรัชญาจารวาก) มีทัศนะแตกต่างอย่างตรงข้ามกับลัทธิที่กล่าวมาแล้ว กลุ่มที่สองถือว่าสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์และสัตว์นั้นประกอบด้วยชีวะกับสรีระ สรีระ หมายถึง ร่างกาย ส่วนชีวะนั้น หมายถึง ชีวิตินทรีย์ ซึ่งเป็นเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมกับจิตวิญญาณ นั่นก็หมายความว่า ชีวะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับจิตวิญญาณ (ธาตุรู้) ที่อยู่ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ นั่นเอง และชีวะกับสรีระก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่แยกกันโดยเด็ดขาด ทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็มีความสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อนมาก ในพุทธศาสนา มีพุทธพจน์รับรองว่า “ดูก่อนผู้มีอายุ ภิกษุผู้รู้ ผู้เห็นอย่างนี้ ควรละหรือที่จะกล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะ กับสรีระเป็นคนละอย่างกัน ผู้มีอายุ เรารู้เราเห็นอย่างนี้ จึงไม่กล่าวว่า ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน หรือว่าชีวะกับสรีระเป็นคนละอย่างกัน ดังนี้”[๕] ตามพุทธพจน์ ถึงแม้ว่าชีพ (นามธรรม) กับสรีระ(ร่างกาย)จะไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน และก็ไม่ใช่สิ่งที่แยกกันได้โดยเด็ดขาดก็ตามทีแต่ทว่าทั้งชีพและสรีระต่างมีสัมพันธ์กัน และมีความเนื่องกันอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นมติทางพระพุทธศาสนายังก้าวล้ำลึกลงไป อีกด้วยวิธีการแยกร่างกายและจิตใจของมนุษย์และสัตว์ออกจากกันและชี้ว่า ความจริงสูงสุดมี ๔ อย่าง เรียกว่า ปรมัตถธรรม คือ จิต  เจตสิก  รูป  และ นิพพาน[๖] ทำให้เราได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างจะชัดเจนว่า ร่างกายกับจิตวิญญาณ หรือกายกับจิตอันนี้ย่อมมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างสลับซับซ้อนมาก
             ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ผู้เขียนจึงต้องการจะศึกษาวิเคราะห์ธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งเป็นแนวคิดทางอภิปรัชญาในพุทธศาสนาอย่างละเอียด โดยมีวัตถุประสงค์ ๒ ประการ ได้แก่ (๑) ศึกษาแนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่สำคัญ และ (๒) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ธรรมชาติของมนุษย์ในพุทธปรัชญา ทั้งนี้เพื่อให้ทราบว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์เราเป็นอย่างไร  พระพุทธศาสนามีแนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างไร และลักษณะดังกล่าวนี้แตกต่างจากลัทธิอื่นๆ อย่างไร การเป็นสมาชิกของโลกชีววิทยาอันเต็มไปด้วยการต้องแข่งขันและเอาตัวรอด คุณค่าดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดปัญหาภายในของมนุษย์อย่างไร มีแต่คนเท่านั้นหรือที่สามารถมีความขัดแย้งภายในอันลึกซึ้งเช่นนี้ได้ และถึงแม้จะมีนักปรัชญาเห็นต่างกันมากในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ เกี่ยวกับความรู้อันนี้ที่เราสามารถยอมรับร่วมกันได้ ดังนั้นเพื่อให้ธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังเป็นปัญหาทางอภิปรัชญาได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และค้นหาคำตอบอีกครั้ง ผู้วิจัยจึงหยิบยกเอาประเด็นดังกล่าวมาอภิปรายในทัศนะของพุทธปรัชญาอย่างเป็นสัดส่วนเป็นเรื่องๆ ไป และนำเอาประเด็นที่ได้ตั้งไว้แล้วนั้นมาวิเคราะห์และสรุปผล พร้อมทั้งนำเสนอในบทความนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อไป
๓. ธรรมชาติของมนุษย์ในทรรศนะของนักปรัชญาคนสำคัญ
             ผู้เขียนได้นำเสนอแนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ในข้อที่ผ่านมาข้างต้นเพื่อแสดงให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ในภาพกว้างๆ พอสังเขป ต่อไปผู้เขียนจะได้นำเสนอธรรมชาติของมนุษย์ของนักปรัชญาคนสำคัญ ต่อไป ซึ่งนักปรัชญาอธิบายเอาไว้หลายท่าน ดังต่อไปนี้
             ๓.๑  ธรรมชาติของมนุษย์ตามทรรศนะของเรอเน  เดการ์ต (Rene Descartes, ค.ศ. ๑๕๙๖ – ๑๖๕๐)   เดส์การ์ตเป็นนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เข้าศึกษาวิชาภาษาโบราณที่วิทยาลัยเยซูอิต ที่ลาแฟล็ซ ต่อมาจึงเข้าศึกษาวิชากฎหมาย ปรัชญา และคณิตศาสตร์อย่างจริงจัง ท่านสนใจพิเศษก็คือ วิชาปรัชญา หลังจากจบการศึกษาแล้ว เดส์การ์ต ได้เดินทางไปประเทศต่างๆ ในยุโรปเพื่อหาประสบการณ์ โดยการเข้าพบและสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้รู้ทางปรัชญา ในการท่องเที่ยวนี้ นอกจากจะได้เรียนรู้ปรัชญาแล้ว ท่านยังมีโอกาสได้เรียนวิชาดนตรีและการฟันดาบจนมีความชำนาญ เดส์การ์ตเป็นนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ได้เขียนหนังสือไว้มากมาย เช่น “ข้อคำนึงว่าด้วยอภิปรัชญาเพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าและอมตภาพของวิญญาณ” “กิเลสของวิญญาณ” “วิธีหาความจริงโดยแสงสว่างตามธรรมชาติ” เป็นต้น
             ญาณวิทยาของเดส์การ์ตมีปัญหาเหมือนกันกับเบคอนที่ว่าทำอย่างไรคนจึงจะมีความคิดตรงกัน แต่แตกต่างจากเบคอนที่คิดว่าอคติคืออุปสรรคให้คนคิดไม่เหมือนกัน ส่วนเดส์การ์ต บอกว่า อคติไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้คนคิดไม่ตรงกัน อุปสรรคที่แท้จริงก็คือ “วิธีคิด” และวิธีอุปนัยของเบคอนนั้นไม่สามารถจะให้ความมั่นใจแก่เราได้ว่าจะพบความจริง ท่านกล่าวว่า “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าเคยยอมรับว่าสิ่งที่เป็นจริงและแน่นอนที่สุดก็คือ ความรู้ที่ได้จากผัสสะแต่หลายครั้งประสบการณ์ต่างๆ ก็พิสูจน์ให้เห็นความหลอกลวงของผัสสะ ดังนั้นเราจึงไม่ควรไว้วางใจกับสิ่งที่เคยหลอกลวงเรามาก่อน” เพราะเหตุนี้ เดส์การ์ตจึงประกาศว่า “ เหตุผลทางนิรนัย(Deductive Logic) เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นบ่อเกิดของความรู้ ทุกคนมีเหตุผล สามารถเข้าถึงความรู้โดยเหตุผล และสามารถเข้าถึงความจริงโดยพลังของเหตุผล เขาสรุปปรัชญาของเขาว่า “เมื่อฉันคิด ฉันจึงมีตัวตน”(I think, therefore, I am)
             เดการ์ตได้ชื่อว่าเป็นบิดาของลัทธิเหตุผลนิยม ซึ่งเป็นลัทธิที่ใช้เหตุผลมาพิสูจน์ความคิดของตนเอง เหตุผลที่นำมาพิสูจน์ไม่ใช่เหตุผลที่เกิดมาจากประสบการณ์หรือประจักษ์ แต่เป็นเหตุผลที่เกิดขึ้นมาจากความคิดของนักปรัชญานั้นๆ  บางทีนักปรัชญาบางท่านอาจมีประสบการณ์มาแล้วก่อให้เกิดความคิด แต่ไม่ได้หมายถึงความว่านักปราชญ์ลัทธิเหตุผลนิยมยอมรับความรู้หรือความจริงที่มาจากประสาทสัมผัส แต่ที่จริงแล้ว ลัทธินี้ปฏิเสธประสบการณ์ทั้งหมดว่าไม่สามารถจะให้ความรู้ที่ถูกต้องและความรู้ที่แท้ได้ ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ เหตุผลนิยมของเดส์การ์ต ถือเอาวิธีการนิรนัยเพื่อพิสูจน์ความจริงทั้งในเชิงอภิปรัชญาและญาณวิทยา วิธีนิรนัยนี้แหละเป็นการใช้ความคิดล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์หรือประสาทสัมผัส(Sensation)[๗]
             ๓.๒  ธรรมชาติของมนุษย์ในทรรศนะของจอห์น ล็อก (John Locke, 1632-1704) ล็อกเป็นนักปรัชญาลัทธิประสบการณ์นิยมคนหนึ่งของอังกฤษที่มีชื่อเสียงมาก ท่านเกิดที่ซอมเมอร์  เซ็ตเชอร์ (Sommer Setshir) เข้าเรียนหนังสือระดับมัธยมศึกษาที่เวสต์มินสเตอร์และเรียนปรัชญาที่ออกซฟอร์ด จบออกมาแล้วได้เป็นอาจารย์สอนวิชาภาษากรีกวาทศิลป์และปรัชญา อาชีพของท่านได้แตกต่างจากอาชีพของบิดาที่เป็นทนายความ
             ล็อกได้สร้างญาณวิทยาจากงานนิพนธ์ชื่อ An Essay Concerning Human Understanding งานชิ้นนี้ท่านได้ใช้เวลาค้นคว้าอยู่นานถึง ๗ ปี จึงได้พบแนวทางว่าความรู้เกิดมาโดยไม่มีใครเป็นคนสร้าง หรือความรู้เกิดมาเพราะอาศัยประสาทสัมผัส ถึงคนจะมีจิต แต่จิตไม่มีความรู้มาตั้งแต่เกิด จิตมีความรู้หลังจากได้รับอารมณ์ภายนอกเข้ามาที่จิต ดังนั้นความรู้ของล็อกจึงเกิดมาจากประสบการณ์ ข้อความต่อไปนี้เป็นตัวชี้ว่าท่านคือนักประสบการณ์นิยม เมื่อถามว่า “จิต” เกิดมาจากไหน ล็อกตอบว่า “จิต” เกิดมาพร้อมกับร่างกาย พระเจ้าเป็นผู้สร้างจิตและร่างกาย ท่านกล่าวว่า “พระเจ้าสร้างจิตและร่างกายโดยไม่ได้ใช้อะไรเลย เป็นสิ่งที่เกิดอำนาจการเข้าใจของเราก็จริง แต่ถึงกระนั้นข้อความนี้ก็เป็นจริง” และ “ใคร”เป็นผู้สร้าง ล็อกตอบว่า พระเจ้าสร้างจิต แต่จิตเกิดมาพร้อมกับร่างกายนั้นเป็นของว่างเปล่า หรือเหมือนกระดาษขาว ไม่มีรอยเปรอะเปื้อนใดๆ เป็นจิตบริสุทธิ์ ไม่มีจินตภาพใดๆ ในจิตนั้น แต่พอเกิดขึ้นมาแล้ว จิตนั้นๆ ค่อยมีความนึกคิด ความรู้ ความเข้าใจตามมาทีหลัง
             เมื่อถามว่า “ความคิดหรือความรู้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร” ล็อกตอบว่า “ความคิดหรือความรู้ทุกอย่างได้มาจากประสบการณ์ ประสบการณ์คือบ่อเกิดของความรู้หรือความคิดหรือจินตภาพทุกอย่าง โดยอาศัยการสัมผัส ของอายตนะภายในคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสกับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ แล้วสร้างการรับรู้อารมณ์การไตร่ตรอง หรือการรับรู้ภายใน เช่นการรับรู้สัมผัส ความคิด ความสงสัย การใช้เหตุผลเป็นต้น[๘] ล็อกปฏิเสธความรู้ที่ติดตัวมาแต่เกิดของเดส์การ์ต ท่านกล่าวว่า “ความรู้ทั้งหมดมาจากประสบการณ์ ปราศจากประสบการณ์เสียแล้ว ความรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้ มนุษย์จะมีความรู้ก็ต่อเมื่อมนุษย์เกิดมาและมีประสบการณ์เท่านั้น ไม่มีความรู้ใดๆ ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่แรกเกิด จิตของมนุษย์เมื่อแรกเกิดก็เหมือนกระดาษขาว หรือกระดาษที่ว่างเปล่า ความคิด ความรู้สึก จินตภาพ ความมีเหตุผลจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออายตนะภายใน ได้สัมผัสอายตนะภายนอกเท่านั้น ถ้ามนุษย์มีความรู้ติดตัวมาแต่ตั้งแต่เกิด อย่างพวกเหตุผลนิยมกล่าวไว้มนุษย์ทุกคนย่อมมีความคิดความรู้สึก เหตุผล จินตภาพเหมือนกันหมด แต่ในชีวิตจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น มนุษย์เมื่อมีประสบการณ์อย่างไร เขาก็จะมีความรู้อย่างนั้น มนุษย์มีประสบการณ์ต่างกัน เขาก็จะมีความรู้ไปคนละอย่างไม่เหมือนกัน ดังนั้นประสบการณ์จึงเป็นที่มาของความรู้และเป็นตัวตัดสินว่า ความรู้อะไรจริงและความรู้อะไรไม่จริง[๙]

             ๓.๓  ธรรมชาติของมนุษย์ตามทรรศนะของศาสตราจารย์สมภาร พรมทา
 สมภาร พรมทา ได้กล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์ไว้ในหนังสือเรื่อง พุทธปรัขญา มนุษย์ สังคมและปัญหาจริยธรรม ว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีความขัดแย้งในตัวเอง ความขัดแย้งในชีวิตมนุษย์อาจมีได้หลายประเภทและหลายระดับ มนุษย์นั้นมีสองภาวะพร้อมกันในตัวเอง อย่างแรกคือการเป็นสมาชิกในโลก “ทางชีววิทยา” ในฐานะสมาชิกของโลกดังกล่าวนี้ ดูเหมือนว่าเราจะมีสภาพไม่ต่างจากสมาชิกอื่น ซึ่งได้แก่พืชและสัตว์มีข้อเรียกร้องทางชีววิทยาพื้นฐานอยู่จำนวนหนึ่งที่สมาชิกในโลกแห่งชีวภาพจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อความอยู่รอด เช่น ต้องกินอาหาร ต้องสืบต่อเผาพันธุ์ เป็นต้น มนุษย์ต้องปฏิบัติตามกฎพื้นฐานเหล่านี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และที่สำคัญคือ กฎเหล่านี้ไม่เหมือนกฎต่างๆ ที่เราคุ้นเคยในชีวิต เช่นกฎห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เพราะบรรดากฎทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น เปิดช่องทางให้เลือกหรือมีความยืดหยุ่นมากกว่า การเลือกจะทำหรือไม่ทำตามกฎเป็นกิจกรรมของสมองหรือปัญญา ซึ่งอาจพิจารณาจากหลายๆ เงื่อนไขประกอบการตัดสินใจ แต่สำหรับกฎทางชีวภาพ เราไม่มีทางได้เลือกเลยแม้แต่น้อย เมื่อหิวเราต้องกิน เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ เราต้องมีคู่ครอง ต้องมีความรัก และมีสภาพทางจิตหลายๆ อย่างที่เป็นไปเพื่ออำนวยโอกาสและกระตุ้นกิจกรรมการสืบต่อเผ่าพันธุ์ของเรา เราไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นเลย[๑๐]

๔. ธรรมชาติของมนุษย์ในพุทธปรัชญา
           ในหัวข้อนี้ผู้เขียนจะนำเสนอแนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ในพุทธปรัชญา ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างจากแนวคิดแบบตะวันตกที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อก่อนหน้า แต่มีทั้งหมดก็รวมอยู่ในแนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์เช่นกัน
             ๑.มนุษย์ในโลกทางชีววิทยา  ศาสตราจารย์สมภาร พรมทาได้กล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์ ว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีความขัดแย้งในตัวเอง ความขัดแย้งในชีวิตมนุษย์อาจมีได้หลายประเภทและหลายระดับ มนุษย์นั้นมีสองภาวะพร้อมกันในตัวเอง อย่างแรกคือการเป็นสมาชิกในโลก “ทางชีววิทยา” ในฐานะสมาชิกของโลกดังกล่าวนี้ ดูเหมือนว่าเราจะมีสภาพไม่ต่างจากสมาชิกอื่น ซึ่งได้แก่พืชและสัตว์มีข้อเรียกร้องทางชีววิทยาพื้นฐานอยู่จำนวนหนึ่งที่สมาชิกในโลกแห่งชีวภาพจะต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อความอยู่รอด เช่น ต้องกินอาหาร ต้องสืบต่อเผาพันธุ์ เป็นต้น มนุษย์ต้องปฏิบัติตามกฎพื้นฐานเหล่านี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และที่สำคัญคือ กฎเหล่านี้ไม่เหมือนกฎต่างๆ ที่เราคุ้นเคยในชีวิต เช่นกฎห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เพราะบรรดากฎทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น เปิดช่องทางให้เลือกหรือมีความยืดหยุ่นมากกว่า การเลือกจะทำหรือไม่ทำตามกฎเป็นกิจกรรมของสมองหรือปัญญา ซึ่งอาจพิจารณาจากหลายๆ เงื่อนไขประกอบการตัดสินใจ แต่สำหรับกฎทางชีวภาพ เราไม่มีทางได้เลือกเลยแม้แต่น้อย เมื่อหิวเราต้องกิน เมื่อถึงวัยเจริญพันธุ์ เราต้องมีคู่ครอง ต้องมีความรัก และมีสภาพทางจิตหลายๆ อย่างที่เป็นไปเพื่ออำนวยโอกาสและกระตุ้นกิจกรรมการสืบต่อเผ่าพันธุ์ของเรา เราไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นเลย[๑๑]
           ๒.มนุษย์ในโลกแห่งคุณธรรม (inference) หมายถึง ความรู้ภายหลัง คือความรู้ที่ตามมาจากความรู้อื่น เช่น เมื่อเห็นควันไฟอยู่ในบ้าน เราสามารถอนุมานได้ว่าต้องมีไฟอยู่ในบ้าน ความรู้ที่ว่า“มีไฟอยู่ในบ้าน”เป็นสิ่งที่เราไม่ได้รับรู้โดยตรง แต่เรารู้ได้จากความรู้อื่น คือ การเห็นควันไฟ
           ๓.มนุษย์ในฐานะสมาชิกปัจเจกบุคคล(testimony) หมายถึง ความรู้จากตำราหรือคำบอกเล่าจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ เช่นความรู้จากคัมภีร์พระเวท ความรู้จากการบอกเล่าของฤษีหรือเทพ
           ๔.มนุษย์ในฐานะสมาชิกของสังคม (comparison) หมายถึง การเปรียบเทียบ เป็นความรู้ที่เกิดจากการรับรู้ความคล้ายคลึงกันระหว่างสิ่งสองสิ่ง เช่น เด็กที่ไม่เคยเห็นเสือ แต่รู้ว่าเสือนั้นมีลักษณะหลายๆอย่างเหมือนแมว และต่างจากแมวตรงที่ขนาด เมื่อเด็กคนนั้นได้พบกับสัตว์ตัวหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายแมว แต่ขนาดใหญ่กว่า จึงรู้ว่าสัตว์ตัวนี้เองที่เรียกว่าเสือ
           ๕.ความขัดแย้งระหว่างความรู้สึกกับเหตุผล (postulation) หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นเมื่อข้อเท็จจริง(X)ชุดหนึ่งจะไม่สามารถเป็นไปได้หากปราศจากข้อเท็จจริงหรือคำอธิบาย(Y)อีกชุดหนึ่ง เราจึงต้องสร้างข้อเท็จจริงหรือคำอธิบาย(Y)ขึ้นมาเพื่อรองรับข้อเท็จจริง(X)ชุดแรกนั้น เช่น เรามีข้อเท็จจริง(X)ว่า “เพื่อนเราเป็นคนอ้วนแต่เขาไม่เคยรับประทานอาหารระหว่างวัน” ข้อเท็จจริง(X)ที่เรารับรู้มานี้มีความขัดแย้งกันอยู่ คือความอ้วนกับการไม่รับประทานอาหาร คนที่ไม่รับประทานอาหารไม่สามารถอ้วนได้ คนอ้วนนั้นต้องรับประทานอาหาร ข้อเท็จจริง(X)จะเป็นความจริงได้ต้องอาศัยข้อเท็จจริงหรือคำอธิบาย(Y)ที่ว่า “เพื่อนเราคนนี้ต้องรับประทานอาหารตอนกลางคืนอย่างแน่นอน” ข้อเท็จจริงหรือคำอธิบาย(Y)ที่ว่า “เพื่อนเราคนนี้ต้องรับประทานอาหารตอนกลางคืน” เป็นความรู้แบบอรรถาปัตติที่เกิดขึ้นจากข้อเท็จจริง(X)ที่ฟังดูขัดแย้ง
           ๖.ความขัดแย้งของข้อจำกัดทางชีววิทยากับความอยากรู้อยากเห็น (non-perception) หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับการไม่ปรากฏของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ปรากฏ เช่น เมื่อเรามองไปในชามอาหารที่ว่างเปล่า แล้วเราไม่พบอาหารอยู่เลยภายในชามใบนั้น ทำให้เราทราบว่าในชามนั้นไม่มีอาหาร ความรู้ที่ว่าไม่มีอาหารอยู่ในชาม หรือ รู้ความไม่มีอยู่ของอาหารในชามใบนั้น เป็นความรู้ที่เรียกว่าอนุปลัพธิ
           ปรัชญาอินเดียแต่ละสำนักจะให้ความหมาย คำจำกัดความ และมีการจัดกลุ่มของเครื่องมือและแหล่งความรู้เหล่านี้แตกต่างกันออกไป[๑๒]  ปรัชญาจารวาก เชื่อว่าประจักษ์เป็นแหล่งความรู้เดียวที่สามารถให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่มนุษย์ได้ สางขยะยอมรับประจักษ์ อนุมาน และศัพทะ นยายะยอมรับประจักษ์ อนุมาน ศัพทะ และอุปมานะ ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า การที่แต่ละสำนักยอมรับแหล่งของความรู้ที่ต่างกัน นั้นมิได้หมายความว่าจะปฏิเสธแหล่งความรู้ที่ไม่ได้กล่าวถึงเสมอไป หากแต่อาจจัดอยู่ในหมวดของแหล่งความรู้อย่างอื่นก็ได้ เช่น บางสำนักอาจกล่าวว่า อรรถาปัตติแท้จริงแล้วก็คือการอนุมานอย่างหนึ่ง หรือบางสำนักอาจจะจัดอนุปลัพธิไปอยู่ในกลุ่มของประจักษ์ ขณะที่อีกสำนักไปจัดอยู่ในส่วนของอนุมาน เป็นต้น
           สำหรับปรัชญาตะวันตกของนักปรัชญาสองท่านอันได้แก่จอห์น ล็อก และเรอเน เดส์การ์ด นั้นแตกต่างไปจากญาณวิทยาอินเดียทั้ง ๓ สำนัก ลัทธิเหตุผลนิยม (Rationalism) ของเรอเน เดส์การ์ด มีพื้นฐานจากแนวคิดที่อธิบายความเป็นจริงว่า จิต/อุดมการณ์ จิต (สติปัญญา) ของมนุษย์เป็นคุณลักษณะพิเศษ สามารถรู้ความจริง เน้นศักยภาพของจิต (สติปัญญา) ซึ่งมีศักยภาพที่จะเข้าใจความจริง ที่เป็นสากล และแน่นอนตายตัว ซึ่งประสาทสัมผัสไม่สามารถให้ได้ ข้อสรุปนี้ เน้นบทบาทของจิต ในการแสวงหาความรู้ด้วยการใช้เหตุผล ซึ่งเป็นศักยภาพของมนุษย์ในการใช้สติปัญญา (จิต) เพื่อการรู้ความจริง ความจริง/ความรู้มีลักษณะที่แน่นอน ชัดเจนและเป็นสากล ดังนั้นต้องใช้จิตมนุษย์ ที่เป็นสากล จึงจะเข้าใจกันได้ (สิ่งเหมือนกัน ย่อมเข้าใจกัน) ซึ่งสรุปความคิดได้ว่าความรู้ที่ถูกต้อง ต้องมีความแน่นอน ตายตัว  มนุษย์มีสติปัญญาที่สามารถบรรลุถึงความจริงได้  เดส์การ์ดปฏิเสธความรู้ที่ได้จากประสาทสัมผัส ของจอห์น ล็อก เขาอ้างว่า เพราะประสาทสัมผัสหลอกลวงเรา (ประสาทสัมผัส เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ขึ้นกับกาลเวลา สถานที่) ยอมรับการใช้วิธีการ “นิรนัย” กล่าวคือ การพิสูจน์ความจริง อาศัยความจริงที่มีอยู่เดิม
           ส่วนแนวคิดประสบการณ์นิยม/ประจักษ์นิยม (Empiricism) ของ จอห์น ล็อค มีพื้นฐานจากแนวคิดที่เสนอว่าความเป็นจริง เป็นสสาร (สสารนิยม) แนวคิดนี้มีลักษณะตรงกันข้ามกับแนวคิดเหตุผลนิยม ด้วยการเน้นบทบาทของประสาทสัมผัส ว่าเป็นแหล่งที่มาของความรู้/ความจริง มนุษย์ไม่มีความรู้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ต้องค่อยๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ซึ่งสรุปความคิดได้ว่า การรู้ความจริงตามแนวเหตุผลนิยม (วิธีการนิรนัย) มีจุดอ่อน คือ ไม่ได้ความรู้ใหม่ ส่งผลให้วิชาปรัชญาไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับสังคม ล็อกยอมรับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ให้ความสำคัญแก่ประสบการณ์ในระดับประสาทสัมผัสในการแสวงหาความรู้ เพื่อได้ความรู้ใหม่ มาเป็นหลักการได้มาซึ่งความรู้ในการแสวงหา/เข้าใจความจริง จึงนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาเป็นวิธีการรู้ความจริงตามแนวปรัชญา และยอมรับการได้ความรู้อาศัยใช้วิธีการอุปนัย กล่าวคือ การกระโดดจากความจริง ส่วนย่อย (ที่มั่นใจแล้ว) ไปสู่ความจริงสากล
          
๕. สรุป/วิพากษ์
           อย่างไรก็ตามผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับทั้งสองทฤษฎีนี้นักผู้เขียนมีทรรศนะว่า เหตุผลหากปราศจากประสบการณ์ก็ไม่อาจให้ความจริงที่ถูกต้องทั้งหมดได้ ส่วนประสบการณ์หากขาดเห็นผลก็ไม่อาจให้ความรู้ที่เป็นจริงได้เช่นกัน หากเราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเราย่อมจะไม่สามารถรู้ได้ว่า สิ่งที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะของเรานั้นเป็นอะไรได้เลย ตรงกันข้ามหากเรามีประสบการณ์แล้ว ไม่ส่งต่อไปยังจิตเพื่อคิดและวิเคราะห์เทียบเคียงกับประสบการณ์ในอดีต เราก็จะไม่สามารถแยกแยะ แบ่งแยก จัดประเภทสิ่งที่ผ่านเข้ามาในจิตของเราได้อีกเช่นกัน ดังนั้นทั้งสองทฤษฎีนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่ มากเพราะในปัจจุบันปรากฏว่า มีความรู้หลายชนิดที่มีลักษณะที่อธิบายด้วยเหตุผลและประสบการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เราคงจะต้องยอมรับว่ายังมีอีกหลายทฤษฎีที่มีทรรศนะแตกต่างกับทั้งสองทฤษฎีนี้ เช่น ปฏิบัตินิยม อัตฌัตติกญาณ ปรากฏการณ์วิทยา เป็นต้น.

          








บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย

     (๑) หนังสือ
ประยงค์  แสนบุราณ, ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่,กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๘.
ฟื้น ดอกบัว,ปวงปรัชญาอินเดีย.พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๕๕.
สุนทร ณ รังษี, ปรัชญาอินเดีย : ประวัติและลัทธิ,พระนคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๗
อดิศักดิ์ ทองบุญ,ปรัชญาอินเดีย,พระนคร : ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๓๒.

๒. ภาษาอังกฤษ
Bhelke, S. E. and P. P. Gokhale (eds.). Studies in Indian Moral Philosophy: Problems,
concepts and Perspetives. India: Pune.
Potter, Karl H. 2003. Knowledge and Reality in Indian Philosophy. In Brain Carr and Indira.
Mahalingam (eds.). Companionn Encyclopedia of Asian Philosophy. London and New York: Routledge,







[๑] นิสิตปริญญาเอกสาขาวิชา ปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
[๒] สมภาร  พรมทา,บทความชุด “ความคิดพื้นฐานทางปรัชญาที่สำคัญของพระพุทธเจ้า”,วารสารปัญญา ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๖. หน้า ๓๓๕.
[๓] ดูรายละเอียดใน. ชาร์ล ดาร์วิน,กำเนิดสปีชีส์.นำชัย ชีววิวรรธน์และคณะ แปล.พิมพ์ครั้งที่ ๒, สารคดี,กรุงเทพมหานคร : ๒๕๕๘.
[๔] ดูรายละเอียดใน. ชัยพฤกษ์ เพ็ญวิจิตร,ศาสตร์แห่งจักรวาล 2, เคล็ดไทย,กรุงเทพมหานคร : ๒๕๔๒. หน้า ๓-๑๔.
[๕] มหาลิสูตร, ที.สี. ๙/๑๕๗-๑๕๘.
[๖] จรูญ  วรรณกสิณานนท์,ศึกษาวิเคราะห์ “การปฎิเสธอัตตา”ในพระพุทธศาสนาเถรวาท,วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต,(สาขาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๘).
[๗] ประยงค์  แสนบุราณ, ปรัชญาตะวันตกสมัยใหม่,(กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๘).หน้า ๒๒๕-๒๒๖.
[๘] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๒๖-๒๗.
[๙] เรื่องเดียวกัน.หน้า ๒๘.
[๑๐] สมภาร  พรมทา.มนุษย์ สังคม และปัญหาจริยธรรม.พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๔๘.หน้า ๑๙๐,
[๑๑] สมภาร  พรมทา.มนุษย์ สังคม และปัญหาจริยธรรม.พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๔๘.หน้า ๑๙๐,
[๑๒] Potter, Karl H. 2003. Knowledge and Reality in Indian Philosophy. In Brain Carr and Indira
Mahalingam (eds.). Companionn Encyclopedia of Asian Philosophy. London and New York: Routledge, pp. 251-265.

วิเคราะห์เชิงปรัชญา พระอัครสาวก

  พระธาตุพนม บรมเจดีย์                                                                                                                      ...