วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

สุนทรียศาสตร์กับศีลธรรม: ขัดแย้งหรือสัมพันธ์

สุนทรียศาสตร์กับศีลธรรม
Aesthetics and Morality

อ.อาทิจฺจพโลภิกขุ [๑]

บทความนี้เป็นการนำเสนอประเด็นปัญหาข้อวิเคราะห์เชิงปรัชญา เรื่อง  สุนทรียศาสตร์กับศีลธรรม เพื่อหาคำตอบของสุนทรียศาสตร์กับศีลธรรม ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างมีนัยสำคัญหรือทั้งสองอย่างไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกันและแยกต่างหากจากกัน เราจะแยกตรงไหนที่เป็นเส้นแบ่งของสุนทรียศาสตร์ที่สำคัญและจำเป็น อันมีค่ายิ่งต่อมนุษยชาติ ออกจากการประกอบกิจไร้ประโยชน์ เป็นผลงานทางการพาณิชย์ และแม้แต่ผิดต่อศีลธรรม สาระและความสำคัญชนิดไหนกันที่สุนทรียศาสตร์วางอยู่ มีทฤษฎีศิลปะอยู่ทฤษฏีหนึ่งซึ่งพวกที่คัดค้านเรียกกันว่าทฤษฎี “โน้มเอียง” กล่าวไว้ว่า สาระสำคัญของศิลปะที่แท้จริงนั้นตั้งอยู่บนความสำคัญของเองราวที่ได้รับการปฏิบัติออกมา คือเพื่อศิลปะจะเป็นศิลปะได้นั้น จำเป็นที่เนื้อหาของมันจะต้องเป็นอะไรที่สำคัญจำเป็นต่อมนุษย์ ดีงาม มีศีลธรรม และชี้นำ ตามทฤษฎีดังกล่าวศิลปิน ซึ่งก็คือคนที่มีความชำนาญไม่อะไรก็อะไรสักอย่าง ด้วยการหยิบเอาแกนเรื่องราวที่สำคัญที่สุด ซึ่งสร้างความสนใจแก่สังคมในช่วงเวลานั้นๆ ด้วยการตกแต่งมันด้วยสิ่งซึ่งดูเหมือนรูปแบบศิลปะ ก็สามารถผลิตงานศิลปะออกมาได้ตามทฤษฎีดังกล่าว ศาสนา ศีลธรรม สังคม และความจริงทางการเมือง อันห่มไว้ด้วยสิ่งซึ่งดูเหมือนรูปแบบศิลปะ ก็เป็นผลงานทางศิลปะแล้ว[1]
ทฤษฎีต่อมาเรียกตัวเองว่า “สุนทรียศาสตร์” หรือทฤษฎี “ศิลปะเพื่อศิลปะ” นั้น ถือกันว่าสาระสำคัญของศิลปะที่แท้จริงอยู่ที่ความงามแห่งรูปแบบของมัน ซึ่งก็คือศิลปะจะเป็นจริงได้ จำเป็นที่สิ่งอันมันได้เสนอออกมาจะต้องสวยงาม ตามทฤษฎีดังกล่าว ในการผลิตศิลปะจำเป็นอย่างยิ่งที่ตัวศิลปินจะต้องมีความสามารถทางเทคนิค และต้องทำให้ปรากฏออกมาซึ่งวัตถุศิลป์อันได้ผลิตออกมานั้น ให้มีความประทับใจน่ายินดีระดับสูงสุด และดังนั้น ภาพทิวทัศน์ ดอกไม้ ผลไม้ ร่างกายที่เปื่อย และบัลเล่ต์ที่งดงาม ก็จะเป็นงานศิลปะ[2]
ทฤษฎีที่สาม ซึ่งเรียกตัวเองว่าทฤษฎี “สัจนิยม” กล่าวว่า สาระสำคัญของศิลปะอยู่ที่การเสนอความจริงที่เป็นจริงและถูกต้องแน่นอน นั่นคือ เพื่อการเป็นศิลปะที่แท้จริงจำเป็นจะต้องทำให้ปรากฏซึ่งชีวิตอย่างที่มันเป็นอยู่  ตามทฤษฎีนี้ จะตามมาด้วยว่างานศิลปะอาจเป็นอะไรก็ได้ที่ศิลปินได้ยิน ได้เห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสามารถนำมาใช้ในการผลิตซ้ำแบบขึ้นโดยไม่ขึ้นตรงต่อความสำคัญของเรื่องราวหรือความงามรูปแบบแต่อย่างใด[3]
ที่กล่าวนั้นคือทฤษฎีต่างๆ และต่างเป็นรากฐานของผลงานที่เรียกว่าศิลปะมากมาย ซึ่งอาจเข้าอยู่ในทฤษฎีแรก ทฤษฎีที่สอง หรือทฤษฎีที่สาม ซึ่งนอกจากความจริงที่ว่า ทฤษฎีเหล่านี้ต่างขัดแย้งกันและกันแล้ว ยังไม่มีทฤษฎีใดเลยที่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจต่อข้อเรียกร้องต้องการในอันที่จะกำหนดแบ่งศิลปะออกจากการผลิตที่ไร้นัยสำคัญ เป็นเชิงพาณิชย์ หรือแม้แต่เป็นพิษเป็นภัย ตามความหมายของทฤษฎีทั้งหมดที่กล่าวมานี้ งานศิลปะสามารถผลิตออกมาได้ไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับการผลิตงานฝีมือทุกชนิดนั่นเอง และอาจเป็นงานที่ไร้นัยสำคัญหรือแม้แต่เป็นพิษเป็นภัยก็ได้ ตามทฤษฎีแรก (ทฤษฎีโน้มเอียง) เรื่องราวที่สำคัญอย่างเช่นศาสนา ศีลธรรม สังคม หรือการเมืองนั้น มีพร้อมในมือตลอดเวลาอยู่แล้ว จึงสามารถผลิตงานที่เรียกว่าศิลปะออกมาได้ไม่ขาดสาย ยิ่งกว่านั้น เรื่องราวต่างๆ ที่กล่าวนั้น อาจเสนอออกมาอย่างคลุมเครือและไม่จริงใจเสียจนงานสำคัญที่สุดนั้น กลายเป็นงานไร้นัยสำคัญหรือแม้แต่มีพิษมีภัยโดยเนื้อหาสูงส่งนั้นด้อยค่าลงด้วยการแสดงออกที่ไม่จริงใจ ในทำนองเดียวกัน ทฤษฎีที่สอง (ทฤษฎีสุนทรียศาสตร์) นั้นไม่ว่าใครก็ตามที่เรียนรู้เทคนิคสาขาใดสาขาหนึ่งของศิลปะมาแล้ว เขาก็จะสามารถผลิตสิ่งสวยงามและน่ายินดีออกมา แต่อันนี้ก็เช่นกัน ที่ความงามและความน่าพึงใจยินดี อาจไร้นัยสำคัญหรือแม้แต่เป็นพิษเป็นภัยได้ และก็แบบเดียวกันนั่นเอง ตามทฤษฎีที่สาม(ทฤษฎีสัจนิยม)นั้นไม่ว่าใครก็ตามที่ปรารถนาจะเป็นศิลปิน ย่อมสามารถผลิตวัตถุอันเรียกว่าศิลปะออกมาได้ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะคนทุกคนจะต้องสนใจอะไรสักอย่างอยู่ตลอดเวลา ถ้าผู้ประพันธ์คนนั้นสนใจสิ่งซึ่งไร้นัยสำคัญและชั่วร้าย งานของเขาที่ออกมาก็ย่อมไร้นัยสำคัญและชั่วร้ายไปด้วย ประเด็นสำคัญก็คือ ตามทฤษฎีทั้งสามที่กล่าวนี้ “งานศิลปะ” สามารถผลิตออกมาได้ไม่ขาดสายเช่นเดียวกับงานฝีมือทุกอย่างนั่นเอง และที่จริงก็กำลังผลิตกันออกมาอย่างนั้นอยู่แล้ว
ผู้เขียนต้องการนำเสนอข้อวิพากษ์วิจารณ์สุนทรียศาสตร์ที่มีต่อศีลธรรมตามทรรศนะของพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นการนำเสนอแนวคิดต่างๆของพุทธสุนทรียศาสตร์ที่มีต่อ ๓ ทฤษฎี คือ (๑) ทฤษฎีโน้มเอียง  (๒) ทฤษฎีสุนทรียศาสตร์ และ(๓) ทฤษฎีสัจนิยม เพราะทฤษฎีที่ครอบงำอยู่และไม่อาจยอมรับได้ทั้งสามนี้ ไม่เพียงไม่สามารถกำหนดเส้นแบ่งที่แยกศิลปะออกจากสิ่งที่ไม่ใช่ศิลปะเท่านั้น ตรงข้ามที่ยิ่งกว่าอะไรที่สุดคือ มันยังรับใช้การขยายข่ายครอบงำ และนำเอาสิ่งไร้นัยสำคัญและเป็นพิษเป็นภัยมารวมไว้ทั้งหมดด้วย ดังนั้นผู้วิจัยจะได้พยายามอธิบายให้เห็นว่า สุนทรียภาพที่เกิดจากงานศิลปะในทรรศนะของพุทธปรัชญาเถรวาทนั้นควรเป็นอย่างไร แม้จะมีข้อโต้แย้งกล่าวถึงศิลปะว่าไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาและศีลธรรม  แต่พุทธปรัชญาเถรวาทก็มิได้ให้คุณค่ากับศิลปะในด้านวัตถุภายนอกแต่เป็นการให้ความสำคัญกับศิลปะในฐานะที่เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ ฝึกฝนและพัฒนาตนเองของมนุษย์ ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องศิลปะแตกต่างกันนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้วิจัยจะได้พยายามพิสูจน์และหาเส้นแบ่งผลงานศิลปะออกจากผลงานที่ไม่ใช่ศิลปะในทรรศนะของพุทธปรัชญาเถรวาทให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่มีเจตนาที่จะเข้าข้างแนวคิดใดแนวคิดหนึ่งแต่อย่างใด

จากข้อความในหัวข้อที่ผ่านมาอะไรคือเส้นแบ่งระหว่างสุนทรียศาสตร์กับศีลธรรมเรื่องนี้ค่อนข้างที่จะต้องพิจารณาให้ละเอียดลงไป เพื่อแยกแยะผลงานที่ไม่เป็นศิลปะออกมาเสียจากผลงานที่เป็นศิลปะทั้งหลายที่เราพบดาดเดื่อนอยู่ในทุกวันนี้ตามวัดวาอาราม ตามร้านขายภาพเขียน ผลงานที่ส่งเข้าประกวดประชันกันในเรื่องเทคนิค เรื่องความสูงส่ง หรือเรื่องการสะท้อนความจริง 
ผู้เขียนจะขอนำภาพเขียนภาพหนึ่งที่ชื่อว่า “ภิกษุสันดานกา”มาเป็นเครื่องมือในการอภิปรายในประเด็นดังกล่าวทั้งหมดนี้  และนำมาวิพากษ์วิจารณ์ในมุมมองของนักปรัชญาตะวันตกและพุทธปรัชญาเถรวาท ข้อเขียนทั้งหมดจึงมุ่งไปที่ประเด็นข้อโต้แย้งแนวคิดเรื่อง สุนทรียศาสตร์กับศีลธรรม ซึ่งมีประเด็นสำคัญๆ  ๓ ประเด็น ดังต่อไปนี้

ภาพภิกษุสันดานกา ศิลปิน อนุพงษ์ จันทร



ความงามทางพุทธศาสนา 
เมื่อพิจารณาแนวคิดการนำเสนอภาพ “ภิกษุสันดานกา” พบว่ามีความแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับแนวคิดปรัชญาศิลปะในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ภาพดังกล่าวศิลปินกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ของเขาว่า ต้องการนำเสนอความจริงที่เกิดขึ้นในสังคมสงฆ์ ที่แหลกเหลว ฟอนเฟะ โดยมิได้มุ่งหมายถึงพระสงฆ์ทั้งหมด แต่มีเจตนาที่จะจำเพาะลงไปที่บรรดาเหล่าภิกษุอลัชชี ผู้ปลอมบวชอาศัยผ้าเหลืองหากินเท่านั้น  แม้ศิลปินและผู้นิยมศิลปะจะมองว่า เรื่องนี้เป็น  "ศิลปะ และพวกเขาก็เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า "สุนทรียภาพ" สามารถสัมผัสได้โดยผ่านทางประสาทสัมผัส อันได้แก่ ทางตาที่เราเห็น และทางหูที่เราได้ยิน แต่พระพุทธศาสนามิได้มีทรรศนะเช่นนั้นเสียทั้งหมด เป้าหมายของการสร้างศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนานั้น พระพุทธศาสนามีทรรศนะว่าต่างไปจากการสร้าง ศิลปะประเภทอื่นเพราะมีเป้าหมายที่แน่นอนอยู่ที่การศิลปกรรมเพื่อทำจิตให้สงบ ยกระดับวิญญาณของมนุษย์ให้สูงส่งขึ้นจนถึงขั้นหลุดพ้นจากกิเลสในที่สุด   ดังนั้นเนื้อหาของศาสนศิลป์จึงเน้นที่  ความจริง ความดีและความงามเพื่อให้ผู้พบเห็นได้รับ  ความรู้สึกนึกคิดบนพื้นฐานที่เป็นปรัชญาของศาสนาแต่ละศาสนา ดังที่คำบาลีว่า“กุสสะสิปปัง”   ศิลปะต้องเป็นกุศล   ขอยกตัวอย่างเมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวว่ามีศิลปินแร็ปเปอร์คนหนึ่ง แสดงคอนเสริต์หมิ่นศาสนาพุทธ จนถูกรัฐบาลของประเทศศรีลังกาสั่งงดออกวีซ่าให้กับศิลปินรายนี้ แม้ว่าจะได้รับความนิยมมากก็ตาม  กระแสต่อต้านนี้ยังลุกลามไปยังหมู่ชนชาวศรีลังกาทำให้เกิดความโกรธแค้นจน ชุมนุมประท้วงที่หน้าบริษัทนำเข้าคอนเสริต์นี้พร้อมกับขว้างปาสิ่งของเข้าใส่ จนทำให้พนักงานบาดเจ็บไป ๔ คนด้วยกัน  เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีชาวพุทธที่เป็นชาวไทยหลายคนต่อต้านและเรียกร้องให้รัฐบาลไทยงดออกวีซ่า ให้กับนายคนนี้อีกด้วย 

กลุ่มผู้ประท้วงออกมาเรียกร้องให้หยุดการแสดงภาพดูหมิ่นพระสงฆ์

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างสุนทรียศาสตร์กับศีลธรรม   อะไรมีผลต่อจิตใจของมนุษย์ หลายคนที่โดนประณามเพราะเอาเรื่องของบุคคลในศาสนามาสร้างเป็นงานศิลปะ เช่น ผลงาน “ภิกษุสันดานกา” ที่ยกมาเป็นตัวอย่างในบทความนี้ ซึ่งเป็นผลงานได้รับรางวัลเหรียญทองมีชื่อเสียงในหมู่คนวงการศิลปะ ตรงกันข้ามฝ่ายผู้ที่นับถือพุทธศาสนาจำนวนมากมายกลับประณามสาปแช่ง และด่าทอแสดงความไม่พอใจผลงานชิ้นดังกล่าวนี้  กระแสการประณามบุคคลที่ดูหมิ่นเหยียดหยามยังได้ลุกลามบานปลายอยู่เป็นเวลานานแล้วยังไม่หายไปคนกลุ่มที่รักและเคารพศาสนาพุทธกลับทวีความรัก ความหวงแหนมากขึ้นกว่าเดิมและหาทางป้องกันให้มีการระงับการจัดแสดงผลงานชิ้นนี้ นั่นคงจะเป็นเครื่องชี้ชัดให้พวกเราเข้าใจกันได้ไหมว่าศิลปะนั้นจะต้องเป็นกุศลด้วย” การที่เราจะมุ่งเน้นแต่การแสดงความคิดเห็นส่วนตนสร้างสรรค์ผลงานศิลปะขึ้นมา ด้านเดียวโดยไม่คำนึงถึงกุศลกรรมด้วยนั้นเราก็จะไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของ สุนทรียภาพได้แม้เราจะสร้างขึ้นมาใหญ่โตสวยงามความหมายสูงส่งเพียงใดแต่หากผลงานชิ้น ดังกล่าวเป็นอกุศลแล้วก็ไม่เป็นศิลปะเพราะศิลปินที่เป็นมนุษย์มีกิเลสตัณหา อยู่นั้นจะนำเปรียบเทียบกับองค์แห่งพระรัตนตรัยได้อย่างไรทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตย่อมนำมาเปรียบเทียบไม่ได้    ศิลปินที่จะสร้างศิลปะในแนวศาสนาก็ควรสร้างให้เกื้อกูลกับศาสนาและคำสอนของพระศาสดา ให้เข้าถึงแก่นแท้ของศิลปะจนเกิดเป็นผลงานการสร้างสรรค์ที่ทรงคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์เป็น สิ่งที่สะท้อนคุณความดีงามที่ตนต้องการนำเสนอ หรือก็คือ  นำธรรมะสร้างเป็นศิลปะก็จะทำให้ประสบกับความสุข ความเจริญแก่ตัวศิลปินและก็มีส่วนสัมพันธ์สืบเนื่องทำให้สังคมที่อยู่นี้ ถึงจะเป็นไปถูกทิศทาง

ความงามในเชิงสุนทรียศาสตร์ 
ประเด็นนี้เกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องปรัชญาศิลปะในอดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมุ่งหมายที่จะให้ศิลปินเข้าให้ถึงสุนทรียภาพในชีวิต และถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะจึงจะทำให้ผู้ที่เห็นและชื่นชมงานศิลปะสามารถเข้าใจถึงสิ่งที่ศิลปินต้องการนำเสนอได้ กรณีภาพวาดภิกษุสันดานกาที่ยกมาเป็นตัวอย่าง นักปรัชญากลุ่มที่สองที่มองว่าภาพนี้ไม่ควรเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรม หรือศาสนา แต่เป็นงานศิลปะเพื่อศิลปะ ดังนั้นจึงยอมให้มีการแสดงผลงานทางศิลปะที่เป็นอิสระจากศาสนาได้  ซึ่งในที่นี้ควรจะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า คำว่า ศิลปะเพื่อศิลปะนั้นมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด เพราะถ้าหากสามารถที่จะสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา เช่น ภาพโป้ ภาพเปลือย หรือภาพที่ทำให้จิตวิญญาณของคนตกต่ำลง แล้วเรียกมันว่า งานศิลปะ บ้านเมืองเราก็คงจะเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่ไร้รสนิยมทางสุนทรียศาสตร์กันเต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งก็หนีไม่พ้นเรื่องปัญหาทางศีลธรรมอยู่นั่นเอง
ฮูปแต้มสิมอีสาน มรดกทางภูมิปัญญาของชาวอีสาน



ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและศาสนาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผ่านมานับพันๆ ปีนั้นจะเห็นว่า “ศิลปะกับศาสนา” มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาช้านาน เพราะศิลปะมักถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ศาสนาไปยังศาสนิกชน หรือสร้างเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา เช่น การสร้างงานจิตรกรรมเพื่ออธิบายหลักธรรม หรือบันทึกเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับประวัติชีวิตของศาสดาหรืออธิบายคำสอนของศาสดา การสร้างวัตถุหรือหรือรูปเคารพในศาสนาต่างๆ ศิลปะที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนานั้นมีแทบทุกประเภท ตั้งแต่ประเภทประติมากรรม จิตรกรรม สถาปัตยกรรมและประเภทอื่นๆ ซึ่งสาระสำคัญของศาสนาทุกศาสนานั้น มุ่งให้มนุษย์มีชีวิตที่ดี มีศีลธรรมประจำใจ ดังนั้น เนื้อหาหรือเป้าหมายของศาสนศิลป์ จึงเน้นที่ ความดีและความงาม เพื่อให้ผู้เสพได้รับความรู้สึกนึกคิดบนพื้นฐานที่ดีงาม แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อศิลปินมีแนวคิดที่เป็นอิสระพ้นจากศาสนาแล้ว จึงสร้างศิลปะเพื่อศิลปะขึ้นในยุคต่อมาก็ตาม แต่ ! ศิลปินก็ยังดำรงแนวคิดที่มุ่งให้ศิลปะ เป็นสื่อของความดีและความงามในจิตใจมนุษย์ มากกว่าที่จะใช้ศิลปะไปในทางเลวร้าย จนกกล่าวกันว่า ศิลปะกับศาสนาเป็นสิ่งเดียวกัน หรือเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกันมาก ดังที่ ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ได้เขียนไว้ว่า ความมุ่งหมายของศิลปะคือเกื้อกูลศีลธรรมแยกระดับจิตใจของมนุษย์ แม้ว่าการแสดงออกในบางครั้งจะใช้เรื่องอกุศลเป็นสื่อ แต่เป็นไปเพื่อชี้ให้เห็นปัญหาและวิธีแก้ไข เช่น ศิลปะทางกามวิสัยตามเทวสถานในอินเดียศิลปะเหล่านั้น มีความมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางศีลธรรมและสังคม เนื่องจากโรคระบาดได้ทำลายชีวิตของประชาชนไปมากมาย จึงต้องช่วยกระตุ้นและสนับสนุนให้การกำเนิดมนุษย์
ประติมากรรมนูนสูง ถ้ำอชันตา รัฐมหาราษฏร์ อินเดีย



ความงามตามทฤษฎีสัจนิยม 
ปัญหาข้อสุดท้ายพิจารณาการที่ศิลปะเป็นการแสดงออก ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา อีกชนิดหนึ่งเป็นศิลปะเพื่อศิลปะ แต่มีจุดหมายอย่างเดียวกัน เพื่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติ ส่วนศาสนาก็มีจุดหมายปลายทางทางด้านจิตใจเช่นกัน คือสอนให้คนเป็นคนดีโดยอาศัยหลักธรรม แต่ศิลปะสอนโดยอาศัยการเรียนรู้จากการประสานกลมกลืนกันและความงาม ดังกล่าวแล้ว จะเห็นว่าปรัชญาของศิลปะและศาสนานั้นค่อนข้างจะใกล้ชิดกันมาก จนสิ่งทั้งสองสามารถผสานกลมกลืนกันไปได้เป็นอย่างดี ในอดีตศิลปะหลายประเภท พัฒนามาจากศิลปะเนื่องในศาสนา ก่อนที่จะพัฒนามาสู่ศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัย ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นทั้งในซีกโลกตะวันออกและซีกโลกตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่ถ้ำอชันตะ (AJANTA CAVE) ในประเทศอินเดียซึ่งเป็นจิตรกรรมเนื่องในพุทธศาสนายุคแรก แตกต่างจากภาพภิกษุสันดานกา ที่มีลักษณะเป็นเรื่องล้อเลียน (Caricature)[๖] ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้กล่าวไว้ในศิลปะสงเคราะห์ว่า “การแสดงลักษณะของเหตุการณ์ทางการเมือง ทางทหาร หรือทางศาสนาก็ดี หรือเหตุการณ์ข้อเท็จจริงอันเกิดมีขึ้นเป็นประจำวันตามธรรมดาก็ดีอาจถ่ายทอดออกมาให้เป็นเรื่องล้อ ด้วยวิธีวาดเป็นภาพ...ในเรื่องล้อเลียนเช่นนี้ ที่เป็นเรื่องกระทบกระเทียบ(Sarcastic) ก็มี เมื่อต้องการจะติชมเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นบางประการ โดยเอาเรื่องตลกขบขันไปบังไว้[๗]
อีกนัยหนึ่งศิลปะที่เนื่องในศาสนาเป็นต้นกำเนิดของศิลปะหลายประเภท ที่นอกเหนือจากผลงานศิลปะโดยตรงแล้ว “ช่างและศิลปิน” ผู้สร้างศิลปะเนื่องในศาสนาก็มีบทบาทอย่างสำคัญ ในการพัฒนาศิลปะให้ก้าวหน้าและมีคุณภาพ ผู้เขียนเห็นว่าช่างและศิลปินผู้สร้างงานศิลปะเนื่องในศาสนา จะต้องมีความศรัทธาในศาสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ในจิตใจ จึงจะพยายามที่จะนฤมิตผลงานของตนให้ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ศิลปินและช่างประเภทนี้จะต้องมีความรู้ทั้งด้านศิลปะและศาสนา ประกอบกันไปด้วยเพื่อให้ได้ศิลปกรรมที่ตรงตามปรัชญาของศาสนา แต่การจะสะท้อนภาพบุคคลในศาสนาออกมาจนเป็นงานศิลปะชั้นสูงได้นั้น ศิลปกรรมจักต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกมาก ตั้งแต่ความชำนาญเชี่ยวชาญในศิลปะประเภทนั้นๆ ความเข้าใจในหลักและปรัชญาของศาสนา ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะต้องมีอยู่ในตัวช่างหรือศิลปินผู้สร้างศิลปะ หากศิลปินขาดคุณสมบัติเป็นผู้เข้าใจในหลักปรัชญาศาสนาและปรัชญาศิลปะก็จะไม่อาจสร้างสรรค์ผลงานจนเกิดสุนทรียภาพออกมาได้ ช่างหรือศิลปินสมัยใหม่ส่วนมากมักชอบสร้างศิลปะเพื่อสนองความรู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นหลัก แต่ผู้สร้างศาสนศิลป์หรือพุทธศิลป์นั้น จะมุ่งไปที่ผลที่จะเกิดกับผู้เสพซึ่งเป็นศาสนิกชนเป็นสำคัญหากมุ่งไปผิดทางก็อาจนำความเสื่อมเสียมาได้
ดังนั้น การสร้างศิลปกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับบุคคลในศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย พระพุทธเจ้า และพระสงฆ์สาวก ถือเป็นบุคคลในศาสนาผู้สร้างจะต้องมีศักยภาพในตัวสูงยิ่งที่เดียวจึงจะสามารถถ่ายทอดความเป็นสุนทรียภาพออกมาได้   สิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ชัดเจน ในพระพุทธปฏิมาสมัยต่างๆ ของไทย ซึ่งประติมากรสามารถถ่ายทอดพุทธปัญญาและสารัตถธรรม ให้หลอมรวมอยู่ในองค์พระปฏิมาได้อย่างหมดจดงดงามอย่างที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัยนั้น ถือว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่มีความเป็นเลิศในทุกทาง เป็นประติมากรรมคลาสสิคของไทย ที่มีความสมบูรณ์ทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ กรรมวิธีในการหล่อสำริด รูปทรงเค้าโครงที่ได้สัดส่วนงดงามมีพระพักตร์ที่อิ่มเอิบ แสดงถึงความหลุดพ้นไปจากกิเลส ตัณหาทั้งปวง พระพุทธปฏิมาบางลีลาของสุโขทัยนั้น เป็นพระพุทธปฏิมาที่มีความงามเป็นเลิศ ด้วยความประสานกลมกลืนกันของเส้นรอบนอก และปริมาตรที่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดความรู้สึกที่อิ่มเอมหลุดพ้น ภาพลักษณ์พระพุทธรูปนั้นไม่มีนัยยะของภาพเหมือน แต่เป็นสัญลักษณ์อันหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนมนุษย์ภายนอกของภาพลักษณ์ไม่บ่งบอกถึงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต ไม่สะท้อนอะไรสักอย่างที่เคยพบเห็นเชิงกายภาพ แต่มันเป็นสูตรอันหนึ่งซึ่งสร้างความเข้าใจได้ดี  สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญา และความสามารถของปะติมากรไทยในอดีตเป็นอย่างดี   ซึ่งแตกต่างจากภาพวาดภิกษุสันดานกา ที่คำนึงถึงความรู้สึกส่วนตนเพียงอย่างเดียวแม้จะมีองค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยมเพียงใดแต่ก็ไม่อาจชักนำให้ผู้ชมเกิดสุนทรียภาพขึ้นมาได้ ทั้งนี้เนื่องจากการที่ศิลปินไม่คำนึงถึงปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ของบุคคลในศาสนาเหมือนกับการสร้างองค์พระพุทธรูปที่อุดมไปด้วยสุนทรียภาพที่ไม่ว่าจะมองจากมุมของศิลปะหรือศาสนาก็รู้สึกได้ถึงศีลธรรมอันดีงามนั่นเอง
บทสรุป/วิพากษ์
ผู้เขียนเชื่อว่าการนำเสนอผลงานทางศาสนศิลป์หรือศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับบุคคลในศาสนาทุกศาสนา เป็นศิลปะที่มีผลโดยตรงที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของมวลมนุษย์มาช้านาน และศิลปกรรมเหล่านั้นเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็น ภูมิปัญญา ความศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา และด้วยความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนานี้เอง เป็นพลังมหัศจรรย์ที่ทำให้เกิด ศิลปกรรมที่ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
           สำหรับศาสนศิลป์ในประเทศไทยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นศาสนศิลป์เนื่องในพุทธศาสนาหรือเป็นพุทธศิลป์ แต่ก็มีศาสนศิลป์ในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู และอิสลามอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากนัก ก่อนประวัติศาสตร์ไทยนั้นเป็นที่ทราบกันดี ว่า เป็นศิลปะลัทธิมหายานของสมัยขอมและศรีวิชัย แต่สำหรับสมัยทวาราวดีนั้น เป็นของอินเดียและมอญลัทธิเถรวาท  รวมทั้งในสมัยสุโขทัยของประวัติศาสตร์ไทย  ซึ่งถือกันว่าเป็นศิลปะของพุทธที่งดงามที่สุดของโลกแบบหนึ่ง ดังคำกล่าวของผู้ที่พบเห็นซึ่งไม่ได้เป็นชาวพุทธ ดังนี้
ภาพลักษณ์พระพุทธเจ้าสร้างโดย ปฏิมากรสุโขทัย นั้นเปล่งประกายความสงบเงียบออกมาให้เห็นเป็นพิเศษและมีพลังวิญญาณที่รู้สึกได้ แม้จะไม่ใช่ชาวพุทธ”
และถ้าในมุมมองของนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี ผู้มีส่วนได้ศึกษาเรื่องนี้บันทึกเกี่ยวกับพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัยว่า
แบบของหุ่นประติมากรรม เสมือนคุณค่าที่นำเข้าสู่จิตภวังค์  มีความรู้ในการใช้วัสดุเป็นอย่างดี ไม่ลวงตาด้วยความเป็นเนื้อหนังของคนและรอยจีบของผ้า ซึ่งนำมาเป็นปัจจัยแฝงไว้กับเนื้อโลหะมันเป็นเฉกเช่น การเห็นพลังเพลิง พื้นผิวของบรอนซ์เปล่งแสงเรืองด้วยโครงร่างรอบนอกคล้ายการพลิ้วสะบัดของเปลวเพลิง” เพื่อเป็นข้อเปรียบเทียบขอยกเอาทรรศนะของท่านศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิส ดิสกุล ได้กล่าวไว้กับผลงานพระพุทธรูปชิ้นหนึ่งมาอ้างถึงดังนี้
ภาพอันสวยงามนี้  ถือได้ว่ามีคุณค่าด้านผลงานดินเผาที่ดีที่สุดของทวาราวดี และอีกทั้งมีความเป็นพิเศษสุดของงานปูนปั้น  ซึ่งถูกค้นพบจากการขุดอุโมงค์ซากปรักหักพัง อนุสาวรีย์ ของเมืองคูบัวใกล้ราชบุรี ตอนใต้ของประเทศไทย  แบบของมวยผม ไหล่แผ่กว้างและร่างเรียว  บอบบางชวนให้รำลึกถึงศิลปะสมัยคุปตะ และคุปตะตอนหลังของอินเดีย  ใบหน้าอันละไมแสดงออกด้วยการเผยอยิ้ม ร่างสรวมผ้ายาวมัดแน่นด้วยผ้าคาดสะเอว  เส้นรอบนอกศีรษะคลุมหนังละมั่งทาบบนผ้าคลุมไหล่ซึ่งรู้และชี้ชัดได้ว่าเป็นรูปของพระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร โดยลักษณะของการสรวมใส่หนังละมั่งมือขวาถือเหยือก  ซึ่งแสดงถึงพระอวโลกิเตศวร  การค้นพบพระโพธิสัตว์ชิ้นนี้  มีความสำคัญมากเพราะสามารถพิสูจน์ได้ครั้งแรกว่า  พุทธแบบมหายาน  ได้มีการปฏิบัติกันในแวดวงของวัฒนธรรมทวาราวดี  สถานที่ส่วนใหญ่ซึ่งมีวัตถุโบราณอยู่ร่วมกับเถรวาท”             
ผู้เขียนเห็นว่าเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเนื้อหาที่เป็นสื่อถึงปรัชญาที่แฝงอยู่ในงานภาพวาดภิกษุสันดานกา เมื่อพิจารณาถึงทัศนะทางปรัชญาของนักปรัชญา เช่น  เฮเกล (Hegel) มีแนวคิดว่า  ความงาม คือ ความจริงที่ฉายจากสิ่งสมบูรณ์ผ่านโลกทางประสาทสัมผัสตามที่จิตของมนุษย์ สามารถเข้าใจได้ ความงามจึงเป็นความจริงที่เรารับรู้ได้ในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและความงามที่มีสุนทรียภาพคือความงามในศิลปะ ซึ่งศิลปะที่แฝงความหมายของสิ่งที่ต้องการสื่อไว้ด้วยนั้นจัดเป็นศิลปะเชิง สัญลักษณ์ (Symbolic art) ตามทัศนะนี้ประกอบกับสัญลักษณ์ที่ปรากฏในภาพภิกษุสันดานกา  ทำให้สรุปได้ว่า  การสร้างภาพภิกษุสันดานกาจัดเป็นศิลปะเชิงสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญทั้งต่อผู้สร้าง ในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสิ่งที่นำมาสู่สุนทรียภาพแก่ผู้พบเห็น  ซึ่งผู้สร้างเองก็ต้องมีสุนทรียภาพภายในตนและจินตนาการที่แฝงไว้ด้วยความงาม และความจริงด้วย  เพราะผลงานที่ปรากฏนอกจากจะเป็นเครื่องสื่อถึงความเป็นพระสงฆ์  ความงามและความดี  ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงจิตใจ  ความรู้  และความสามารถอันน่าชื่นชมของผู้สร้างไปในตัว และเมื่อผลงานปรากฏก็เกิดผลดีต่อส่วนรวมหรือประชาชนโดยกว้างขวางในฐานะที่ เป็นผู้เสพหรือผู้สัมผัสกับงานศิลปะนั้น ๆ  ซึ่งในขั้นลึกอาจยังนำไปสู่การเข้าถึงธรรมอันแฝงอยู่ในลักษณะสัญลักษณ์ที่ ปรากฏอยู่ด้วย สุนทรียศาสตร์กับศีลธรรมจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันและมีความ สำคัญดังกล่าวมา แต่อย่างไรก็ตามเมื่อศิลปินมีสถานภาพเป็นชาวพุทธด้วยก็จะต้องเข้าใจถึงบทบาทของตนเองในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนซึ่งไม่เพียงแต่จะต้องทำหน้าที่ชาวพุทธที่ดีเท่านั้น แต่ยังจะต้องทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรมคำสอนอีกด้วย ดังนั้นการสร้างศิลปกรรมที่เกี่ยวกับบุคคลในศาสนาจึงต้องไม่เพียงแต่ให้เกิดสุนทรียภาพในทางศิลปะเท่านั้น คือ มิใช่สร้างศิลปะเพื่อศิลปะ แต่ผลงานจะต้องสื่อให้เห็นหลักปรัชญา ความเชื่อ ความศรัทธา รวมถึงแนวทางที่จะนำหลักธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิตแฝงอยู่ในผลงานนั้นๆ ด้วย ซึ่งก็หมายถึง ให้เกิดดุลยภาพระหว่างสุนทรียศาสตร์กับศีลธรรมนั่นเอง ซึ่งการที่ศิลปินจะทำให้ทั้งสองสิ่งนี้ผสานกลมกลืนกันได้ในภาพวาดเพียงภาพใดภาพหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ดังนั้นศิลปินจะต้องแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของผลงานของตนอย่างต่อเนื่อง คือไม่เพียงแต่ภาพภิกษุสันดานกาที่ได้รับรางวัลนี้เท่านั้น แต่ก็จะต้องสร้างผลงานอื่นๆ ที่สอดคล้องและเกี่ยวเนื่องกันไปจนสามารถเผยให้เห็นสัจธรรมที่พระพุทธศาสนาต้องการจะสื่อสารกับผู้คนได้ จึงจะถือว่า “ศิลปะที่เป็นกุศล” หาไม่แล้วก็จะเกิดการตีความที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากเจตนาบริสุทธิ์ของศิลปินดังเช่นที่ผ่านมาและเกิดผลกระทบในด้านลบต่อพระพุทธศาสนาอย่างที่เกิดขึ้นมาแล้วกับศิลปินหลายๆ คน
พุทธศิลป์ที่ถ้ำผาม่อเกา ที่เป็นถ้ำพุทธเก่าแก่ อายุ ๑,๖๐๐ ปี


 สรุปเนื้อหาที่ผู้เขียนได้นำเสนอมาแล้วนั้นคงจะทำให้ศิลปินหรือผู้ที่สนใจศิลปะหรือคนในวงการพุทธศาสนาได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสุนทรียศาสตร์กับศีลธรรมพอสมควร ความมุ่งหมายสูงสุดของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนานั้น ต้องสร้างสรรค์ขึ้นด้วยอุดมคติอย่างสูงส่ง ประกอบกับความรู้ ความเชี่ยวชาญอันพึงมีของศิลปินเองด้วย ผลงานจึงจะสะท้อนส่งผลให้เกิดความเจริญขึ้นทั้งต่อตัวผู้สร้างเองและต่อสังคมประเทศชาติ เพราะหากมีการสร้างผลงานที่ไม่เป็นศิลปะ(ศิลปะที่ไม่เป็นกุศล)ออกมาแล้วแม้จะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเพราะอ้างสิทธิเสรีภาพก็ตาม  ก็อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงและเกิดความเสื่อมเสียต่อตนเองและส่วนรวมในที่สุด เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังต้องการสิ่งสูงสุดในชีวิต ก็ต้องพึ่งพากันและกันในการดำเนินชีวิตให้ถูกที่ถูกทางและก็ไม่มีใครปรารถนาจะพบกับสิ่งที่ไม่ดี ทุกคนต่างต้องการสิ่งที่ดี ที่เจริญด้วยกันทั้งนั้น.




บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย

 ก. ข้อมูลปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย  ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. 
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.

ข. ข้อมูลทุติยภูมิ
(๑) หนังสือ
บุญมี  แท่นแก้วพุทธปรัชญาเถรวาท,กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕.
ปรีชา  ช้างขวัญยืน,สมภาร  พรมทา. มนุษย์กับศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ ๔(ปรับปรุงแก้ไขครั้งที่ ๒).
             กรุงเทพมหานคร : โครงการเผยแผ่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๒.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๖,
กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอส.อาร์.พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์ จำกัด, ๒๕๕๑.
                    .พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑/๒
ขนาดตัวอักษรใหญ่, กรุงเทพมหานคร : บริษัทเอส.อาร์.พริ้นติ้งแมสโปรดักส์ จำกัด, ๒๕๕๑.
พระมหาหรรษา  ธมฺมหาโส (นิธิบุณยากร),พระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่,พิมพ์ครั้งที่ ๓.
          พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๗.
ศิลป์  พีระศรี,ศิลปะสงเคราะห์.พิมพ์ครั้งที่ ๔. ปทุมธานี : มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์  พีระศรีอนุสรณ์.
๒๕๕๓.
สมภาร  พรมทา.มนุษย์ สังคม และปัญหาจริยธรรม.พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์ศยาม. ๒๕๔๘.
ลีโอ ตอลสตอย,ศิลปะคืออะไร.พิมพ์ครั้งที่ ๒, สุทธิชัย แสงกระจ่าง แปลจากฉบับภาษาอังกฤษโดย
ไอล์แมร์ โม้ด. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์คมบาง. ๒๕๓๘.






[๑] นิสิตปริญญาเอก สาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
[๒] บุญมี  แท่นแก้วพุทธปรัชญาเถรวาท,(กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕), หน้า ๘๐.
[๓] ลีโอ ตอลสตอย, ศิลปะคืออะไร, สิทธิชัย แสงกระจ่าง แปลจากฉบับภาษาอังกฤษโดย ไอล์เมอร์ โม้ด. พิมพ์ครั้งที่สอง,กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์คมบาง ๒๕๓๘. หน้า ๘๒.
[๔] อ้างแล้ว.
[๕] อ้างแล้ว.
[๖] ศิลป์  พีระศรี,ศิลปะสงเคราะห์.พิมพ์ครั้งที่ ๔. ปทุมธานี : มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์  พีระศรีอนุสรณ์. ๒๕๕๓. หน้า ๗๔-๗๕.
[๗] อ้างแล้ว.



[1] ลีโอ ตอลสตอย, ศิลปะคืออะไร, สิทธิชัย แสงกระจ่าง แปลจากฉบับภาษาอังกฤษโดย ไอล์เมอร์ โม้ด. พิมพ์ครั้งที่สอง,กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์คมบาง ๒๕๓๘. หน้า ๘๒.
[2] อ้างแล้ว.
[3] อ้างแล้ว.

แนวคิดเรื่องการออกบวช

..วันนี้เรามาสนทนากันเรื่อง " เหตุของผู้ออกบวช"  ว่ามีเหตุใดบ้างที่ทำให้คนออกบวช  " การบวชนั้นในความคิดอาตมา มันเริ่มมาจากการที่มนุษย์แสวงหาความสุขบางอย่างเพื่อมาช่วยดับทุกข์ในใจของตน คนเรามีความไม่เสมอภาคกันโดยธรรมชาติ รวมทั้งความสุขและความทุกข์ก็ล้วนแตกต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ มีกันทุกคน 
...การบวชตามทรรศนะของเจ้าชายสิทธัตถะพระองค์ทรงบวชเพื่อแสวงหาคำตอบที่ว่า ชีวิตที่ดี ควรเป็นอย่างไร " แม้พระองค์จะทรงเพียบพร้อมไปทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ทั้งอำนาจ วาสนา บารมี แต่พระองค์ก็ยังไม่ทรงพอพระทัยและต้องการรู้บางอย่างเพื่อนำมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปของพระองค์ จึงนำไปสู่การที่ทรงตัดสินพระทัยทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลังมุ่งหน้าแสวงหาอมตธรรมที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน ทั้งๆ ที่พระองค์ก็ไม่ทรงรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร  แต่เชื่อว่า "ต้องมี" 

..."การออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะไม่มีอะไรซับซ้อนเหมือนในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าทรงออกบวชด้วยวิธีที่เรียบง่ายที่สุดเพียงแค่เปลื้องภูษาและตัดพระเมาลี เปลี่ยนไปนุ่งห่มผ้ากาสวพัสต์ อธิษฐานเพศบรรพชิต ก็เสร็จแล้วไม่เหมือนปัจจุบันที่ยุ่งยากวุ่นวาย แห่นาค กินเลี้ยง เชิญแขกเหรื่อมางานมากมาย สุดท้ายบวชได้แค่ ๗ วัน ๑๕ วัน "
...ท้ายที่สุดแล้วท่านทั้งหลายจะสามารถตีความหมายของการออกบวชได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ อย่างน้อยเราก็ได้สนทนากัน ส่วนท่านจะเข้าใจหรือไม่นั้นไม่มีใครรู้ นอกจากตัวท่านเอง.

อ.อาทิจฺจพโลภิกขุเขียนเมื่อ 21 พฤษภาคม 2560

จริยศาสตร์กับการเผยแผ่ธรรม

...เมื่อพระธรรมทูตจาริกออกไปเผยแผ่ธรรม อาจพบเจอกับอุปสรรคที่มาจากผู้คนที่ไม่เลื่อมใส เป็นมิจฉาทิฏฐิ อาจต้องเผชิญกับคำด่าอันหยาบคาย เมื่อเราเผชิญหน้ากับคำด่า ทั้งรุนแรงและไม่รุนแรงเช่นนั้น พระพุทธเจ้าย้ำเตือนให้ตั้งสติ วางใจให้สงบนิ่ง และไม่เข้าไปเติมเชื้อไฟแห่งความรุนแรงทางวาจาอันเนื่องมาจากโกรธ เกลียด เคียดแค้น และชิงชังให้ขยายตัวลุกลามออกไป 

...เมื่อช้างก้าวสู่สงครามย่อมไม่เกรงกลัวต่อลูกศรที่มาจากทิศทั้ง ๔ ฉันใด เมื่อเราตัดสินใจทำงานใหญ่เพื่อรับใช้สังคมหรือคนอื่นๆ ย่อมไม่ควรที่จะเกรงกลัวต่อคำด่า ฉันนั้น... 

...พระพุทธเจ้าไม่สามารถทำให้คนทั้งชมพูทวีปชื่นชม และยอมรับพระองค์ได้ ฉันใด ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทำให้ทุกคนในชุมชน องค์กร หรือสังคมนิยมชมชอบเราได้ทั้งหมด ประเด็นคือ ในขณะที่เราไม่สามารถทำให้ทุกคนในชุมชน และสังคมนิยมชมชอบเราได้ เราจะทำอย่างไรให้คนเหล่านั้นเกลียด และกลัวเราน้อยที่สุด ทรงวางหลักไว้ว่า 
" ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย สำรวมในพระปาฏิโมกข์ อยู่ในที่อันสงัด รู้ประมาณในปัจจัย๔ ทำอย่างนี้ก็จะมีเกราะคุ้มกันภัยแก่ตนเองได้
...เพราะเพียง "แค่คนเดียวเกลียดเรา" อาจจะหมายถึงความสิ้นชีพของเราเอง 
...ดังเช่น มหาตมะ คานธี อับราฮัม ลินคอล์น และจอห์น เอฟ เคนเนดี้.

อ.อาทิจฺจพโลภิกขุ
18 มิ.ย.60

ศาสนากับวิทยาศาสตร์

...สมัยนี้มนุษย์ยุคใหม่มักบอกว่า ศาสนานั้นเป็นของโบราณสอนแต่เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้เหมาะกับคนแก่ เมื่อเขาเข้าใจอย่างนี้จึงคิดแยกผู้คนออกจากกัน เขามองว่ามหาวิทยาลัยยุคใหม่สร้างขึ้นมาเพื่อให้พ้นออกจากศาสนา เรื่องนี้ นักวิทยาศาสตร์อย่าง อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ กล่าวสรุปเป็นคำอธิบายสั้นๆ ว่า


" Science without religion is lame 
Religion without science is blind "
" วิทยาศาสตร์ที่ปราศจากศาสนาคอยกำกับนั้นอ่อนแอ
ศาสนาที่ปราศจากวิทยาศาสตร์นั้นเหมือนตาบอด "

...ไม่จริงเลยที่สถานศึกษาจะสอนแต่เรื่องวิทยาศาสตร์โดยไม่สนใจศาสนา ความจริงแล้วยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีศาสนาคอยกำกับมากเท่านั้น โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยที่ทำการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยียิ่งต้องมีการศึกษาทางศาสนาควบคู่กันไปด้วย จึงจะเรียกได้ว่าเป็นสถานศึกษาชั้นสูงเพื่อพัฒนามนุษย์อย่างแท้จริง ในทางกลับกันศาสนาก็ต้องการการตั้งคำถามการพินิจพิเคราะห์ ทดสอบ ฝึกฝนปฏิบัติด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ด้วย ทั้งสองอย่างจึงเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน และไม่สามารถแยกออกจากกันได้ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด...



อ.อาทิจฺจพโลภิกขุ
18 มิ.ย. 60

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จริยธรรมปลอม

...เมื่อภาพลูกสุนัขน้อย นอนเฝ้าศพแม่ของมันโดยหวังว่าแม่จะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งปรากฏออกมาบนสื่อ หลายคนถึงกับน้ำตาซึม

....ธรรมดาคนมักจะมองว่าสัตว์เป็นอาหารของมนุษย์ มองว่าสัตว์แม้จะมีจิตใจแต่ไม่มีคุณธรรม หรือมีไม่เท่ามนุษย์...แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น.. ภาพนี้สวนทางกับจริยศาสตร์ในศาสนาที่ดูเหมือนมีความเมตตา ใช้สั่งสอนผู้อื่น แต่พอพูดเรื่องสัตว์กลับคับแคบมองสัตว์มีสถานภาพต่ำกว่าคนและเป็นอาหารของคน

...ถ้าใครไปพูดเรื่องนี้ก็พยายามบ่ายเบี่ยงยกคำอ้างว่า ศาสดาไม่ห้ามกินเนื้อสัตว์ แถมยังมีบางศาสนาถึงขั้นระบุไว้ว่า พระเจ้าสร้างสัตว์ให้เกิดมาเป็นอาหารของคน แล้วก็ถือกันอย่างนั้น.

..." ศาสนาทั้งหลายที่สอนเรื่องความรัก ความเมตตา ที่หลายคนยกย่องกลับมองข้ามชีวิตน้อยๆ ของพวกเขาไปอย่างเฉยชา ตีค่าชีวิตสัตว์เหล่านี้เป็นเพียงวัตถุทางธุรกิจ..เพื่อสนองความอยากของคน"


...ที่กล่าวอย่างนี้มิใช่กล่าวร้ายศาสนา แต่เป็นความหวังดีที่มีต่อมนุษย์ผู้นับถือศาสนา หากท่านจะนับถือศาสนาก็ควรนับถือให้ลึกลงไปถึงระดับจิตวิญญาณ อย่านับถือแค่ระดับคัมภีร์หรือแค่ระดับวิชาการ 

...สัตว์ทุกชนิดมันไม่ต่างจากคนเลย มันมีชีวิต มีความรักตัวกลัวตาย รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนคุณ จงอย่าพึ่งปลงใจเชื่ออะไรเพียงแค่เห็นในคัมภีร์ทางศาสนา จริยธรรมของจริงไม่ได้อยู่ในนั้น จงเชื่อใจตนเองนั่นแหละศาสนาของจริง เหมือนกับลูกสุนัขน้อยไม่เคยอ่านคัมภีร์ศาสนาไหนเลย แต่จริยธรรมที่อยู่ในใจนั้นไม่แพ้มนุษย์คนใด. (มังสวิรัติ)



อ.อาทิจฺจพโลภิกขุ
18 มิ.ย.60

ทางแห่งการตรัสรู้

...เนื้อหาในธัมมจักกัปปวัฒนสูตรตอนหนึ่ง ทรงแสดงทางสุดโต่งสองสายที่บรรดาโยคีในสมัยนั้นนิยมปฏิบัติกัน สายหนึ่งคือการเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด กับอีกสายหนึ่งคือการเผชิญหน้ากับความสุขอย่างถึงที่สุด ในทางปรัชญา กลุ่มแรกนั้นเป็นพวกที่เห็นว่าร่างกายเป็นบ่อเกิดของกิเลส จะหลุดพ้นได้คือทรมานร่างกายจนถึงที่สุดแล้วเมื่อถึงจุดสูงสุดร่างกายและจิตใจจะรวมเป็นหนึ่ง และบรรลุโมกษะ กลุ่มที่สองเชื่อว่าชีวิตนี้เกิดชาติเดียวตายชาติเดียวอย่ากระนั้นเลยควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด แสวงหาความสุข เสพกามสุขให้ได้มากที่สุดนั่นคือ บรรลุโมกษะ 

...ทางสองสายนี้นับว่าเป็นแนวคิดที่คลาสสิคของอินเดียนับตั้งแต่ยุคพระเวทย์ เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน แม้ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าจะทรงพยายามชี้แจงว่า ทางสุดโต่งสองสายนี้ไม่ใช่ทางหลุดพ้นจากทุกข์ก็ตาม แต่ก็มีผู้ปฏิบัติตามน้อย และส่วนใหญ่ก็ยังคงเชื่ออย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง 

...อาจเป็นเพราะเรื่องบางอย่างมันมีเหตุผลของการที่มันมีอยู่ การมีของสองสิ่งที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้นก็เพื่อให้เห็นสิ่งที่เป็นของตรงข้ามกัน นั่นแหละคือเหตุผลว่า ทำไมความเชื่อนี้จึงไม่อาจแก้ไขให้หมดไปได้ เหมือนกับเราบอกว่า ตาข้างขวาไม่ดีทิ้งไปเอาไว้แต่ข้างซ้ายนั่นแหละครับทำไม่ได้ เพราะทั้งคู่เกิดมาเพื่อให้เห็นอีกฝ่ายหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อให้มนุษย์เห็นสัจธรรมที่อยู่ระหว่างทางทั้งสองฝ่ายนั้น นั่นคือ ทางแห่งการตรัสรู้ ยังไงล่ะครับ...

วิเคราะห์เชิงปรัชญา พระอัครสาวก

  พระธาตุพนม บรมเจดีย์                                                                                                                      ...