เป็นบล๊อคเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและปรัชญาแก่นิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วไป
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564
บทความพิเศษ: จากไฮพาเทีย ถึง มะแซจิน แรงบันดาลใจสู่คนรุ่นใหม่
วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2564
ข้อพิจารณา(ร่าง) กฎหมายคณะสงฆ์ฉบับใหม่
โดย ด๊อกเตอร์ถังขยะ
วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2564
ความเหมาะสมและความจำเป็นในการใช้ยานพาหนะของพระสงฆ์ร่วมสมัย
ใคร ๆ ก็ทำกัน!
...โดยธรรมชาติแล้วตัวเราไม่มีค่าต่ออะไร หรือต่อใคร เราจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราทำตัวให้มีค่า คนดีก็ไม่ใช่อยู่ที่กำเนิด หรือเกิดมาดี คนดีคือคนธรรมดาที่เป็นได้ทั้งดีและชั่ว แต่เขาเลือกจะทำความดี ไม่ทำความชั่ว
...เราจะเห็นคุณค่าของใครต่อเมื่อเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่จำต้องเลือกระหว่าง "ดี กับ "ชั่ว" ดังนั้นเราจึงไม่ตัดสินคนจากชาติกำเนิดหรือจากสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เป็นคนแบบไหน เขาย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกทำ และท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่เขาทำจะเป็นเครื่องหมายบอกคนอื่น ๆ ได้ว่าเขา "เป็นคนแบบไหน" ดี หรือ ไม่ดี
..สมมุติว่า เรามีโอกาสเลือกในการที่จะทำใบขับขี่ เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการขับรถอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย โดยผู้ให้สิทธิ์นั้นเป็นของรัฐ และรัฐก็อนุญาต คำถามจึงไม่ใช่ว่า เรามีสิทธิ์ขับรถหรือไม่? แต่คือ เราเลือกที่จะขับหรือไม่?
...พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไปเสียหมดทุกอย่างเพราะทรงรู้ดีว่า มนุษย์นั้นมีกิเลสอย่างไรบ้าง และอนาคตก็จะเกิดมีเหตุการณ์ที่เป็นมากกว่าในยุคของพระองค์ที่นอกเหนือจากที่ทรงบัญญัติห้ามเอาไว้เกิดขึ้น จึงทรงตรัสเป็นแนวทางวินิจฉัยเฉพาะในทางพระวินัย (great authorities; principal references)เอาไว้อย่างกว้าง ๆ ความว่า
1. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
2. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร
3. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
4. สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร(อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร
...การที่ทรงตรัสอย่างนี้ก็เพื่อเป็นหลักการตีความการปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์(ในทางพระวินัย)ในอนาคตว่า หากเกิดเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเลือก หรือเกิดความอิหลักอิเหลื่อในทางศีลธรรม จริยธรรม ให้ใช้หลักนี้
...การที่รัฐออกมาให้สิทธิ์แก่พระภิกษุสงฆ์สามารถเลือกได้ ไม่ใช่เรื่องทางพระวินัย เพราะรัฐไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามพระวินัยหรือหลักการตีความในทางพระวินัยแต่อย่างใด แต่พระภิกษุ-สามเณร ผู้ครองเพศบรรพชิตต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกไม่ใช่กฎหมายของรัฐ แต่เป็นกฎเกณฑ์ทางพระวินัยและมองภาพความมั่นคงของพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นเรื่องใหญ่ แม้รัฐจะให้พระใช้สิทธิ์ส่วนตนได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง
...หากเราเลือกจะใช้สิทธิ์ที่รัฐหยิบยื่นให้ก็จะเกิดกรณีต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย ไม่ใช่แค่ใบขับขี่ แต่มันจะหมายถึงการที่พระภิกษุจะมีอะไร ๆ เหมือนฆราวาสมากขึ้น ลองนึกภาพว่า " พระไปกิจนิมนต์ขับรถราคาแพงไป " ฯลฯ อีกมากตามมาที่กระทบกระเทือนศรัทธาของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป หรืออาจมีกรณีเกิดอุบัติเหตุทางถนน ที่ทำให้พระ กลายเป็น ผู้ต้องหา หรือ เป็นคู่กรณี ฟ้องร้องในศาล หรือ ตกเป็นจำเลยในคดีที่เกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย เพราะสิ่งเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นบนท้องถนน มากกว่าในที่อื่น ๆ
...การอ้างว่า " ที่ไหนก็ทำกัน " เป็นการใช้เหตุผลวิบัติในทางตรรกศาสตร์ เรียกว่า "การอ้างคนส่วนใหญ่ทำกัน" หรือ Fallacy ในภาษาอังกฤษ การใช้เหตุผลแบบนี้ไม่ได้ถูกต้องเสมอไป เพราะสิ่งที่คนอื่น ๆ เขาทำก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นถูกต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย หรือตามความเหมาะสม ดังนั้นจึงใช้อ้างไม่ได้...
...การเสวนานี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการสรรหาวิทยากรผู้มีความรู้จากหลากหลายสาขาอาชีพทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น ตำรวจ ขนส่ง นักวิชาการ สำนักงานพระพุทธศาสนา พระผู้ขับขี่ มาให้ความคิดเห็น เป็นการเปิดเวทีสาธารณะให้สนทนาซักถามพูดคุยกัน ก่อนที่จะตัดสินใจทำหรือไม่ทำ เราจะไม่ด่วนตัดสินผิด ถูก ควรไม่ควรหากเรายังไม่ได้ใช้ปัญญาขบคิด ตั้งคำถาม และวินิจฉัยอย่างรอบด้านเสียก่อน อริยชนเขาทำกันแบบนี้ แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้นยังไม่แน่นอนครับ ( อ. อาทิจฺจพโลภิกฺขุ )
ระบบสังคมนิยมในพระพุทธศาสนา
...ปิดคอร์สหมดทุกวิชาแล้ววันนี้เพื่อให้นิสิตอ่านหนังสือเตรียมสอบภาคเรียนที่ 2/2563 ซัมเมอร์นี้มีวิชาที่ต้องรับผิดชอบอีก 3 วิชา คือ ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น, พุทธปรัชญาเถรวาท,และพระพุทธศาสนามหายาน
...ส่วนตัวแล้วมีหลักว่า "หากจะสอนวิชาใดก็จะต้องทผลงานวิชาการในวิชานั้น ๆ ก่อนจึงจะสอน สามวิชานี้ก็อาจจะเขียนเป็นบทความ หนังสือ ตำรา หรือวิจัยก็ได้แล้วแต่เวลาและโอกาส
...เทอมหน้านี้ที่จริงมีผลงานที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้วคือหนังสือ"พุทธปรัชญา" ส่วนงานคณะสงฆ์เลิกทำไปนานแล้วครับ มันมีอะไรที่มืดมิดซ่อนอยู่ที่แก้ไขไม่ได้มากกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เพราะมีระบบอำนาจนิยมที่อิงอยู่กับ พรบ.คณะสงฆ์ ตำแหน่งเจ้าอาวาส เจ้าคณะ ฯลฯ เป็นอุปสรรคใหญ่ ( ระบบนี้สวนทางกับแนวคิดโดยรวมของพระพุทธศาสนา)
...พระพุทธศาสนาเป็นแบบสังคมนิยม พระพุทธเจ้าทรงมอบสิทธิในการปกครองและการบริหารแก่พระภิกษุทุกรูปเท่าเทียมกัน แม้พระองค์จะทรงเป็นประธานแต่การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ นั้นทรงมอบให้คณะสงฆ์ เวลามีทรัพย์สินเกิดขึ้นในท่ามกลางสงฆ์ก็ทรงให้นำเข้าส่วนกลางเพื่อแจกจ่ายให้แก่พระสงฆ์อื่น ๆ อย่างเท่าเทียมกัน พระที่ทำหน้าที่ดูแล ก็ทำแค่เพียงดูแลให้เกิดความสะดวกแก่สมาชิกเท่านั้น
...ส่วนระบบอำนาจนิยมนั้นไม่มีในพระพุทธศาสนา แต่มีมาตามกฎหมายบ้านเมือง เมื่อมี พรบ.คณะสงฆ์ มีกฎมหาเถรสมาคม, บัญญัติขึ้น พระภิกษุได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงาน, เป็นเจ้าคณะ ฯลฯ เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณฯ ตำแหน่งพวกนี้มาจากระบบอำนาจนิยมทั้งสิ้น ระบบนี้มีประโยชน์คือสามารถใช้ปกครองในสภาวะวิกฤตได้ชั่วคราว (บางครั้งก็ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด รวดเร็ว ) แต่หากปล่อยเอาไว้ในระยะยาวจะเกิดผลเสียหายร้ายแรงต่อการพระพุทธศาสนาในทีสุด เพราะจะทำให้พระสงฆ์หลงไหลในอำนาจ ยึดติดกับลาภ ยศ สุข ที่เป็นเรื่องทางบ้านเมือง
...แม้จะเป็นที่รู้กันในทางปรัชญาการเมืองว่า "ไม่มีระบบใดที่ดีที่สุด" แต่อย่างน้อยเราก็พอจะรู้ได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงใช้ระบบใดในการทำงานบริหารคณะสงฆ์ ในพุทธประวัติพระพุทธองค์จะไม่ทรงใช้ระบบอำนาจนิยมในการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์เลย ทรงยกให้สงฆ์เป็นใหญ่เหนือพระองค์ แม้จะทรงอยู่ในฐานะผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนาก็ตามที ทั้งนี้ก็เพราะทรงต้องการให้คณะสงฆ์มีอิสระในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ แม้ในเรื่องพระวินัยก็ทรงผ่อนปรนให้คณะสงฆ์สามารถถอดถอนบัญญัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้หากเห็นว่าสมควร ที่ทรงทำอย่างนั้นก็อาจเป็นเพราะทรงอยากให้คณะสงฆ์มีอายุยืนเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกและมนุษย์ต่อไปนาน ๆ
...งานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน ต้องการความเป็นอิสระสูง เช่น อิสระทางวิชาการ อิสระทางความคิด และอิสระทางการตัดสินใจ จะมีใครไปใช้อำนาจในทางใด ๆ เข้ามาสั่ง มาแทรกแซงบิดเบือนให้เป็นไปตามความต้องการของตนเองเท่านั้น รังแต่จะสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อพระพุทธศาสนาในที่สุด
...ปัจจุบัน ระบบอำนาจนิยมในคณะสงฆ์ไทยหยั่งรากลึกฝังแน่นเกินกว่าจะขจัดออกไปได้ พระพุทธองค์ไม่ได้มอบให้ใครเป็นใหญ่เหนือคณะสงฆ์ในทางใด ๆ แต่การมีมหาเถรสมาคม มี พรบ.คณะสงฆ์ มีเจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค ที่อยู่ภายใต้การควบคุมสั่งการโดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงเป็นสิ่งที่หันเหทิศทางจากเดิมไปคนละทิศทาง พระสงฆ์ที่ได้ตำแหน่งดังกล่าวก็ยึดโยงผูกติดอยู่กับอำนาจที่ได้ประเคนจากรัฐ จนหลงตัวหลงตนไปกับรสชาติอันหอมหวานแห่งอำนาจ มีสถานะไม่ต่างจากการเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ สวนทางกับแนวทางดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง ( อ. อาทิจฺจพโลภิกฺขุ )
-
ศาสนาแห่งเสรีภาพในปรัชญายุคหลังสมัยใหม่ Freedom Religion in Postmodern Philosophy พระอดิเรก อาทิจฺจพโล นิสิตปริญญาเอก สาขาปรั...
-
สังคมอินเดียและคติความเชื่อของสังคมอินเดียในสมัยพุทธกาล” โดย ด๊อกเตอร์ถังขยะ .....เมื่อกล่าวถึงประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาล พบว่า ประเทศอินเ...
-
พระราชมุกดาหารคณี(ยอด ยสชาโต) ... พระราชมุกดาหารคณี (ยอด ยสชาโต) หรือหลวงตายอด มีนามเดิมว่ายอด บรรเทิงใจ เกิดเมื่อวันอาท...