วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ศาสนากับรัฐ : คุณค่าในโลกร่วมสมัย


โดย ด๊อกเตอร์ถังขยะ
..ช่วงนี้สถานการณ์พระพุทธศาสนาแรงมาก หลายคนคงติดตามข่าวและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเสรี คำสุภาพ คำผรุสวาท คำเสียดสี ยุยง บิดเบือน พรั่งพรูออกมามากมาย เพื่อให้อุณหภูมิลดลง บทความว่าด้วยศาสนากับรัฐ จะขอเล่าอะไรให้ท่านได้ฟังก่อนสักเล็กน้อยว่า ศาสนาคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ได้ยินได้ฟังได้เห็นมา
***รัฐและศาสนาเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่รวมหัวกันกดขี่ประชาชน***
....ตอลสตอยกล่าวว่า “มนุษย์ที่มีเหตุผลไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยปราศจากศาสนา เพราะมีเพียงสิ่งนี้ประการเดียวเท่านั้นที่จะมอบเครื่องชี้นำที่สำคัญให้กับเขา เพื่อจะได้รู้ว่าเขาจะต้องทำอะไรก่อนอะไรหลัง หรือกล่าวอย่างชัดเจนคือเพราะศาสนาเป็นสิ่งที่ติดมากับธรรมชาติของเขา อันทำให้ผู้มีเหตุผลไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากศาสนา” ตอลสตอยเริ่มเปิดประเด็นสำคัญเพื่อตอบคำถามถึง “ศาสนาที่แท้” โดยเริ่มด้วยประโยคที่ผู้เขียนเห็นว่านี่คือหัวใจของความเชื่อมั่นอันนำไปสู่การอุทิศชีวิตของเขา “ การยอมรับความเสมอภาคของมนุษย์เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นที่สำคัญของศาสนา”
... น่าสนใจไปกว่านั้น ตอลสตอยอธิบายต่อไปว่า “ดังนั้นไม่ว่าในกาละและเทศะใดที่ความเสมอภาคนี้ดำรงอยู่ และไม่ว่าอีกนานสักเท่าไร สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ในทันทีที่คำสอนของศาสนาใหม่ปรากฏขึ้น (รวมทั้งเมื่อทุกคนสำนึกถึงความเท่าเทียมกัน) ผู้ที่ได้ประโยชน์จากความไม่เท่าเทียมจะพยายามปกปิดความไม่เสมอภาคนี้ไว้ทันที” นี่เป็นจุดเชื่อมที่สำคัญระหว่างมิติทางวิญญาณกับมิติทางสังคม
...ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐ ณ ปัจจุบันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ตอลสตอยให้คำตอบว่า "คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่อย่างขาดศรัทธา ฝ่ายหนึ่งเป็นชนส่วนน้อยที่มีการศึกษาและมั่งคั่งร่ำรวย พวกนี้ไม่เชื่อศาสนา แต่เห็นว่ามีประโยชน์ในการควบคุมมวลชน ซึ่งคืออีกฝ่ายหนึ่งอันเป็นชนส่วนใหญ่ที่ยากจนและไร้การศึกษา คนกลุ่มนี้เข้าใจว่าตนเองศรัทธา แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ตอลสตอยใช้คำว่าพวกเขาโดน “สะกดจิต” ซึ่งคือการถูกชักจูงให้ออกจากศาสนาที่แท้จริงโดยไม่รู้ตัว แต่เดินไปในหนทางที่ชนกลุ่มน้อยต้องการ
...การชักจูงที่ว่านี้มีกรรมวิธี ๓ ประการ คือ
.....๑. มีบุคคลพิเศษบางคนที่เป็นตัวกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า(หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่างตามทรรศนะของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย)
.....๒. อภินิหารต่างๆ ที่เคยมีหรือยังมีอยู่มักถูกนำมาแสดง เพื่อพิสูจน์และยืนยันสัจธรรมที่ตัวกลางเป็นผู้กล่าวไว้ และ
.....๓. มีการใช้คำพูดที่เคยกล่าวย้ำไว้ด้วยวาจาหรือจารึกไว้ในหนังสือเพื่อแสดงถึงเจตจำนงของพระเจ้า พูดสั้นๆ คือ ชอบอ้างคัมภีร์เพื่อให้ตนได้ผลประโยชน์
...กรรมวิธีทั้งสามนี้จะรับรองในสิ่งที่ตัวกลางพูดว่าเป็นสัจธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ตอลสตอยบอกว่าผลของการชักจูงเหล่านี้รับรองความไม่เสมอภาคและเกิดการแบ่งแยก
****เมื่อพิจารณาสถานการณ์ของศาสนาในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้เขียนเห็นว่าที่ใดที่มี “ศาสนาจัดตั้ง” ย่อมมีกรรมวิธีที่คล้ายกัน สถานการณ์ทางศาสนาในประเทศไทยยามนี้ดูจะสะท้อนภาพอดีตของออร์โธด๊อกซ์ในรัสเซียเมื่อร้อยกว่าปีก่อนได้อย่างไม่น่าเชื่อ จึงไม่น่าแปลกใจว่าคริสตจักรรัสเซียประกาศขับตอลสตอยออกจากคริสต์ศาสนาเขาจึงกลายเป็นพวกนอกรีตไปโดยปริยาย
...อีกกลุ่มหนึ่งที่ตอลสตอยโจมตีคือ นักวิชาการ ซึ่งเป็น “ชนกลุ่มเดียวที่สามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากอิทธิพลแห่งการสะกดจิต” และนำพาประชาชนให้พ้นจากแอก แต่กลับไม่ทำหน้าที่หนำซ้ำยังทิ้งให้ประชาชนงมงาย เพื่อ “พวกเขาจะได้รักษาไว้ซึ่งสถานภาพที่มีอภิสิทธิ์ในหมู่ชนส่วนน้อยของตน”
...กลุ่มสุดท้ายคือ รัฐบาล อันตอลสตอยบอกว่าเป็นความหวังของนักปฏิรูปในทุกยุคทุกสมัยที่ผู้ปกครองจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจที่ครอบงำและกดทับประชาชน ให้นำไปสู่ความรักและการรับใช้ แต่ทว่า หากเราพิจารณาในความเป็นจริงมวลชนรุ่นแล้วรุ่นเล่ามีชีวิตอยู่และตายไปภายใต้ภาวะเดิมๆ ซึ่งถูกยึดกุมไว้โดยนักบวชและรัฐบาล ชนชั้นนำย่อมไม่เปิดเผยความเท็จของศาสนาที่ดำรงอยู่ เพราการเผยแพร่ศาสนาที่แท้ คือการทำลายโครงสร้างอำนาจเปรียบเทียบได้กับการตัดกิ่งไม้ที่พวกเขากำลังนั่งอยู่
...เหตุผลเหล่านี้ผู้เขียนเห็นว่าไม่ถูกต้องอย่างแน่นอนและเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดนักปฏิวัติเช่นเลนินจึงกล่าวว่า “ตอลสตอยยิ่งใหญ่ในฐานะโฆษกทางความคิดและความรู้สึกที่เกิดขึ้นในหมู่กสิกรชาวรัสเซียนับล้านในช่วงปฏิวัติกฏุมพีที่กำลังจะเกิดขึ้นในรัสเซีย” เพราะความคิดของตอลสตอยนั้นเป็นขบถต่ออำนาจ อำนาจที่ไม่มีใครกล้าขัดขืนมาก่อน รัฐและศาสนาเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่มีภาพลักษณ์ว่ารวมหัวกันกดขี่ประชาชน หากแต่สิ่งเหล่านี้ ตอลสตอยทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ...

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ฟ้องศาลเอาผิดเทพเจ้า​

 


ฟ้องศาลเอาผิดเทพเจ้าข้อหาหมิ่นเกียรติสตรี

......เมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ นายจันทัน กุมาร สิงห์ (Chandan Kumar Singh) ทนายความคนหนึ่ง ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องเอาผิดกับพระราม เหตุจากไม่ให้ความเป็นธรรมกับนางสีดา พระมเหสี โดยทนายความคนนี้ระบุว่า สาเหตุต้องฟ้องร้องพระรามครั้งนี้ เป็นเพราะพระรามได้กระทำการหมิ่นเกียรติสตรีเพศอย่างรุนแรง คือให้นางสีดาเดินลุยไฟเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังถูกทศกัณฐ์จับตัวไปนานถึง 14 ปี ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องจึงฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเอาผิดพระรามนายจันทัน ยังระบุอีกว่า สาเหตุที่ตัวเขาตัดสินใจยื่นฟ้องศาลเอาผิดพระรามครั้งนี้ไม่ใช่เพื่ออยากดัง แต่เป็นเพราะต้องการให้เกิดความเท่าเทียม และต้องการให้ศาลสร้างบรรทัดฐานในเรื่องสิทธิสตรีแก่สังคม

.....แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารนี้เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของนักปราชญ์ฮินดูผู้เลื่องชื่อคือ ท่านศังกราจารย์ ที่นำมาเผยแผ่ไว้เพื่อสร้างกระแสความศรัทธาแก่ศาสนิกของตน เป็นผลมาจากก่อนหน้านั้นศาสนาพราหมณ์ได้อ่อนแอลงอย่างมาก  เนื่องจากผู้คนหันไปนับถือพระพุทธศาสนาและลัทธิอื่นๆ จนห่างเหินจากศาสนาพราหมณ์จึงเกิดแนวคิดนารายณ์อวตารขึ้น โดยคัมภีร์ที่เลื่องชื่อที่สุดได้แก่ ภควัทคีตาและวรรณกรรมเรื่องรามายณะ มีอิทธิพลต่อผู้คนทุกชนชั้นวรรณะของอินเดีย ในขณะที่คัมภีร์พระเวทย์ที่เป็นรากฐานของปรัชญาอินเดีย เล่าเรียนได้แต่เฉพาะคนวรรณะพราหมณ์เท่านั้น วรรณกรรมเรืองรามายณะจึงเข้าถึงจิตใจของคนอินเดียได้โดยไม่ยาก 

....จากเรื่องนี้แสดงให้เราเห็นพัฒนาการของความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและนารายณ์อวตารที่ส่งผลให้เกิดการปฏิบัติต่อเทพเจ้าในเชิงรูปธรรมมากขึ้นแม้ต้องการสื่อถึงการปฏิบัติตนของมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันแต่การดึงเอาเทพเจ้ามาเป็นตัวอย่าง ก็สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันธ์ที่ลึกซึ้งที่พวกเขามีต่อเทพเจ้าของตน 

....อย่างไรก็ตามศาลแห่งรัฐพิหารไม่รับฟ้องคดีนี้โดยแถลงว่าเป็นคดีที่ไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติ มิหนำซ้ำนายจันทัน กุมาร ซิงห์กลับถูกนายรันจัน กุมาร ซิงห์ผู้เป็นทนายความเหมือนกันฟ้องต่อศาลว่าการที่นายจันทัน กุมาร ซิงห์ ยื่นฟ้องพระรามครั้งนี้เป็นการลบหลู่ศาสนาฮินดูควรจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก ซึ่งรายงานข่าวไม่แจ้งว่าศาลแห่งรัฐพิหารจะรับฟ้องหรือไม่..


วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พุทธ​พาณิชย์​

 


โดย...ด๊อก​เตอร์​ถัง​ขยะ​

... วันนี้​วัน​จันทร์​ ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๔​ หากจะชวนทุกท่านสนทนาธรรมกันวันนี้ก็เห็นจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม

....อ่านพบข้อความในเว็บไซต์กระทรวงวัฒนธรรมของไทย บอกว่าสิ่งที่เป็นปัญหาเร่งด่วนของพุทธศาสนาในไทย คือ​ พุทธพาณิชย์​

....เรื่องพุทธพาณิชย์เกิดขึ้นมานานแล้วและไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็ไม่อาจเข้ามาแก้ได้ เพราะพุทธพาณิชย์ในประเทศไทยเข้มแข็ง โดยมีวัดเป็นผู้ชี้นำ เจ้าอาวาสเป็นใบเบิกทางจึงมีการปลุกเสก ธุรกิจขายบุญ ธุรกิจจัดงานศพ งานบวช เช่าบูชาวัตถุสิ่งของ ฯลฯ 

...วันนี้จึงอยากจะหยิบเอาเรื่องราวนี้ขึ้นมาสนทนาธรรม เมื่อสนทนากันจบแล้ว ท่านจะเข้าใจเองว่า เพราะเหตุใดไทยจึงมีพุทธพาณิชย์เกิดขึ้น โดยจะขอยกความแตกต่างกันระหว่างนิกายมหายาน กับพุทธเถรวาทในไทยมาให้อ่านทั้งสองนิกายในเชิงเปรียบเทียบ เพื่อให้ท่านได้ย้อนกลับมาพิจารณาประเด็นที่เราตั้งกันเอาไว้ จะเห็นความเชื่อมโยงกันในระดับลึกของคณะสงฆ์เถรวาทไทยกับความเป็นพุทธพาณิชย์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

....อย่างไรก็ตามเรื่องเล่าทางศาสนานั้น บางเรื่องมีรายละเอียดที่ต่างกันออกไปตามนิกายและการตีความสั่งสอนจึงจะยกเอาเรื่องที่ “พระพุทธเจ้า” เสด็จไปกุสินาราเพื่อปรินิพพานมาเล่าเทียบกันระหว่างเรื่องของ “พุทธมหายาน” ของจีนและทิเบตกับ “พุทธเถรวาทของไทย” ที่เราคุ้นเคย

...เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับ พุทธประวัติ เมื่อครั้งเสด็จถึงกุสินารา ก่อนปรินิพพานเสด็จถึงระหว่างทางแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำเล็ก ๆ มีน้ำไหล พระพุทธเจ้าแวะลงข้างทาง เข้าประทับใต้ร่มพฤกษาแห่งหนึ่ง ตรัสบอกพระอานนท์ ให้พับผ้าสังฆาฏิเป็น ๔ ชั้น แล้วปูลาดถวาย ประทับนั่งเพื่อพักผ่อน แล้วตรัสให้พระอานนท์ นำบาตรไปตักน้ำในแม่น้ำ

....“เราจักดื่มระงับความกระหายให้สงบ” พระพุทธเจ้าตรัสบอกพระอานนท์พระอานนท์กราบทูลว่า แม่น้ำตื้นเขิน เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่มของพวกพ่อค้าเกวียนเพิ่งข้ามแม่น้ำผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ เท้าโคล้อเกวียน บดย่ำทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น  แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า 'อีกไม่ไกลแต่นี้ มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อกุกกุฏนที มีน้ำใส จืดสนิท เย็น มีท่าน้ำสำหรับลงเป็นที่รื่นรมย์ ขอเชิญเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไปที่แม่น้ำนั้นเถิด พระเจ้าข้า' พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธคำทูลทัดทานของพระอานนท์ถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์จึงอุ้มบาตรเดินลงไปตักน้ำในแม่น้ำ

....ครั้นเห็นน้ำ พระอานนท์ก็อัศจรรย์ใจนักหนา พลางรำพึงว่า 'ความที่พระตถาคตพุทธเจ้ามีฤทธิ์และอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก แม่น้ำนี้ขุ่นนัก เมื่อเราเข้าไปใกล้เพื่อจะตักน้ำ กลับใส ไม่ขุ่นมัว'  ครั้นแล้ว พระอานนท์ก็นำบาตรตักน้ำนั้นไปถวายพระพุทธเจ้า

...*ลองอ่านของมหายานดูบ้างจะรู้สึกได้ถึงการกระสวนความคิดและการสอนศาสนาพุทธในรูปแบบของเขา  พระพุทธองค์ทรงเดินทางไปกุสินารากับสาวกไม่กี่รูปและตรัสว่า “ ฉันกระหายน้ำมาก ไปตักน้ำมาให้ฉันดื่มเถิด”  สาวกที่ร่วมติดตามรูปหนึ่งได้เดินไปตักน้ำที่บึงและพบว่าเพิ่งมีกองเกวียนข้ามน้ำผ่านไป และน้ำในบึงก็ขุ่นไปด้วยโคลนตม จึงไม่ตักน้ำมาถวาย ได้กลับมากราบทูลไปถึงสาเหตุนั้น

.....หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง พระพุทธเจ้าก็ได้บอกให้สาวกรูปนั้นกลับไปที่บึงอีกครั้ง เพื่อตักน้ำมาถวาย  แต่เมื่อกลับไปแล้ว น้ำก็ยังคงขุ่นอยู่ จึงได้กลับมาทูลอีกครั้งว่า ยังดื่มไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน พระพุทธเจ้าได้ทรงให้สาวกรูปนั้นเดินกลับไปที่บึงอีกครั้ง ก็พบว่าน้ำใสแล้ว จึงได้ตักมาถวายพระพุทธองค์ได้ทรงมองไปที่น้ำในบาตรและได้ตรัสว่า

...'เห็นวิธีที่เธอจะได้น้ำที่ใสสะอาดไหม วิธีนั้นคือปล่อยให้น้ำมันเป็นไปตามนั้น อย่าไปยุ่งกับมัน แล้วโคลนตมก็จะนอนก้นลงเอง จิตใจของเธอเองก็เป็นแบบนั้น อย่าไปรบกวนมัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันเป็น แล้วให้เวลากับจิตใจสักหน่อย มันจะสงบลงได้ด้วยตัวของมันเอง'

...เมื่อเรามาเทียบกันระหว่างเรื่องราวทั้งสอง สิ่งที่เราได้เรียนกันในสมัยเด็กจนแก่ในรูปแบบของเถรวาทคือ “ ด้วยพระอานุภาพใหญ่หลวงเช่นนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ทำให้น้ำใส” แล้วเราก็จบเรื่องเพียงเท่านี้ ยกประโยชน์ให้ในเรื่องจบลงด้วยปาฏิหาริย์ แบบไม่ได้อะไรจากเรื่องนี้

...มาดูทางฝั่งมหายานกันบ้าง เรื่องนี้ไร้ปาฏิหาริย์ ไร้พุทธานุภาพ แต่ทรงสอนให้สาวกได้เข้าใจถึงธรรมชาติ และเทียบกับจิตใจของคนที่ไม่ต่างกับน้ำ ยิ่งไปยุ่งกับมันก็ยิ่งขุ่นแต่ถ้าปล่อยมันไว้ ทิ้งเวลาให้จิตใจบ้าง มันจะกลับไปสู่สภาพปกติของมันเองนั่นคือ จบเรื่องนี้ด้วยคำสอนถึงวิธีที่จะรับมือกับจิตใจของตัวเอง

....บางครั้ง เมื่อผมอ่านพระสูตรหรือพระไตรปิฎกของมหายาน ผมก็เข้าใจครับว่า ที่ปราชญ์ราชบัณฑิตของไทยหลายๆ ท่านได้ออกมาพูดทำนองว่า 'ถ้าไม่มีนิกายมหายาน ศาสนาพุทธคงไม่อาจจะอยู่ได้ยืนยาวในโลกได้นานขนาดนี้' และพุทธแบบเถรวาทของไทยและประเทศใกล้เคียง คือชนกลุ่มน้อยของผู้นับถือศาสนาพุทธทั้งโลก

...เราไม่ควรทะนงตนว่า “ชาวพุทธเถรวาทนั้นมีดีกว่าผู้อื่น” เพราะชาวพุทธแบบมหายานนั้นได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วถึงสองพันกว่าปีว่าอยู่ได้ และอยู่แบบมั่นคงในแนวความคิดและคำสอนเสียด้วย พุทธเถรวาทของไทยนั้น เป็น “แขนงต่อมาจากลังกา ” และ แต่ละอรรถกถาจารย์ ต่างก็รจนาต่างๆ กันไปต่างกับ 

....“พุทธมหายาน” ในจีน “พระถังซัมจั๋ง” ท่านเดินทางจากจีน ย่ำทะเลทราย บุกป่า - ฝ่าภูเขาไปศึกษาเล่าเรียนที่วัดหรือมหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดียโดยตรงคือ “ ต่อกิ่ง-ทาบตา ” มาจากต้นเลย! ๑๗ ปี ที่พระถังซัมจั๋งเรียนคัมภีร์พระธรรมและศาสตร์ต่าง ๆ ที่นาลันทาเหตุที่นานเพราะท่านต้องการศึกษาจาก “ต้น-ราก” จริง ๆ ตามที่ “พระอานนท์” ถ่ายทอดธรรมจากโอษฐ์พระพุทธองค์ให้บันทึกไว้ 

.....นาลันทา มีหลายสำนัก-หลายคัมภีร์ ว่าด้วยศาสตร์ต่างๆ ให้เลือกเรียน เหมือนมหาวิทยาลัยมีหลายคณะ หลากวิชาให้เลือกแต่ในแต่ละคัมภีร์ศาสตร์ รวมถึงพระไตรปิฎก บันทึกไว้ด้วยภาษาสันสกฤตท่านรู้แต่ภาษาจีน เพื่อการเข้าถึง จึงต้องเริ่มเรียนภาษาสันสกฤตก่อนแตกฉานในภาษาดีแล้ว จึงเรียนชนิดแทงทะลุคัมภีร์ศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะ "พระไตรปิฎก" ที่เป็นภาษาสันสกฤตช่ำชองทั้งเนื้อธรรมทั้งภาษา สามารถถ่ายทอดพระไตรปิฎกจากต้นฉบับสันสกฤต เป็นภาษาจีนได้ ไม่เพียงเท่านั้น ถึงขั้นแต่ง "คัมภีร์ธรรม" ด้วยสันสกฤตไว้หลายเล่มจนนาลันทายกย่องให้ท่านเป็น “พระตรีปิฎกาจารย์” ตรีปิฎก = ซัมจั๋ง หมายถึงพระไตรปิฎกนั่นแหละ และ นาลันทา ด้วยนักศึกษาเป็นพัน - เป็นหมื่น เลือกให้ท่านเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปขึ้นเวที “ โต้วาทีธรรม ” ในการชุมนุมเจ้าลัทธิ - นิกายธรรมครั้งใหญ่ด้วยคนเป็นหมื่น-เป็นแสนท่านก็เอาชนะได้ทั้งหมด ท่ามกลางเมธีธรรมนับหมื่น - นับแสนในเวที ทุกสำนักสยบยอมยกให้กับพระถังซัมจั๋งเป็นหนึ่ง! จะว่าไปแล้ว พระพุทธศาสนาเถรวาทของไทยนั้น ตั้งเป็นนิกายขึ้นมาเปียก ๆ ตอนจากลังกาเข้ามาย่านสุวรรณภูมิ

....ส่วนมหายาน นั้น มีกล่าวอยู่ก่อนแล้ว และเป็นพุทธนิกายมหายานอยู่ในจีนก่อนจะเกิดประเทศไทยด้วยซ้ำ แต่คงเหมือนในบ้านเราตอนนี้คือมากสำนัก มากอาจารย์ พุทธเหมือนกัน แต่เพี้ยนพุทธไปคนละหน่อ-ละแนว สำนักไหนจับหูช้าง ก็บอกว่า ตามคัมภีร์บอกช้างตัวแบน ๆ สำนักไหนจับหาง ก็บอก ตามคัมภีร์บอกช้างตัวเล็ก ๆ ยาวๆ พระถังซัมจั๋งเห็นไม่เข้าท่าในสมัยราชวงศ์ถัง พ.ศ.๑๑๗๒  จึงเดินทางไปอินเดีย ณ วัดหรือมหาวิทยาลัยนาลันทาทั้งศึกษาคัมภีร์ศาสตร์ พระไตรปิฎก รวมทั้งจาริกไปตามสังเวชนียสถานรวมทั้งเวลาเดินทางไป - กลับ ทั้งหมด ๑๙ ปี ตอนกลับ พระถังซัมจั๋งนำพระไตรปิฎกฉบับภาษาสันสกฤตมาด้วย

....ถึงเมืองฉางอาน ในสมัยพระเจ้าถังไท่จง โปรดเกล้าฯ ให้แปลเป็นจีน แล้วยังทรงให้เขียน "บันทึกการเดินทางไปอินเดีย" ไว้ทั้งหมด เรียกว่า "จดหมายเหตุการเดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง" คุยกันคร่าวๆ ที่สุดแค่นี้ ก็คงหมดสงสัย ที่ปราชญ์ราชบัณฑิตพูดว่า"ถ้าไม่มีนิกายมหายาน ศาสนาพุทธคงไม่อาจจะอยู่ได้ยืนยาวในโลกได้นานขนาดนี้" ก็มหายาน นั้น พระถังซัมจั๋ง ไปร่อนเอา "แก่นพุทธธรรม" มาจากต้นตอโดยตรงคำสอนมหายานจึง "สั้น-ง่าย-กระชับ"แต่ "ตรง-ลึก"...ส่วนพุทธเถรวาทในไทย เหมือนคนร้อยคนยืนเรียงแถว แล้วไปกระซิบใส่หูคนแรกว่า "แมวตาย"จากนั้น ให้กระซิบคำว่า "แมวตาย" ใส่หูต่อ ๆ กันไป จากคนที่ ๑ จนถึง ๑๐๐ ลองไปถามคนที่ ๑๐๐ ดูซิว่า เขากระซิบว่าอะไร?จะกลายเป็น "แม้แต้" ใกล้เคียงหน่อยอาจจะ "แม้วตาย"!  คือต่อ ๆ กันมา แล้วแต่ละอรรถกถาจารย์จะแต่งเติม เรียกว่ารจนาสำนวนใคร-สำนวนมัน 

...มหายานแต่สองพันปี เขาแทงตรงถึงแก่นแต่เถรวาทในไทย แทงตรงกระพี้หรือแก่น ไม่ต้องดูไกล ในรัชกาลที่ ๔ ทอดพระเนตรวัตรปฏิบัติพระสงฆ์แล้วต้องแยกเป็น “มหานิกาย-ธรรมยุต” แม้ถึงยุคนี้ - วันนี้ก็เถอะ สงฆ์เถรวาทในบ้านเมืองเรา ก็ยังเน้นอภินิหารไปถึงขั้นเป็นพุทธพาณิชย์อย่างที่เห็นกันอยู่ทุกถนนหนทางวันนี้.

วิเคราะห์เชิงปรัชญา พระอัครสาวก

  พระธาตุพนม บรมเจดีย์                                                                                                                      ...