ปัญหาการบริโภคอาหารมังสวิรัติในมุมมองพุทธจริยศาสตร์[๑]
The
problem of vegetarian food in view of Buddhist ethics.
พระสมุห์อดิเรก อาทิจฺจพโล[๒]
บทคัดย่อ
บทความนี้ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเสนอว่าการบริโภคอาหารมังสวิรัติในมุมมองพุทธจริยศาสตร์นั้นควรหรือไม่ควรอย่างไร
เนื่องจากเหตุผลที่กลุ่มนิยมบริโภคเนื้อสัตว์มักยกขึ้นมาอ้างว่า
หากสัตว์ไม่ถูกฆ่ากินโดยมนุษย์ จำนวนสัตว์ก็จะล้นโลก การกินเนื้อสัตว์จึงเป็นการช่วยปรับความสมดุลเชิงนิเวศวิทยา
และกลุ่มที่นิยมบริโภคอาหารมังสวิรัติเสนอข้อโต้แย้งว่า
มนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตผู้อื่น ความจริงควรคำนึงถึงเหตุผลด้านอื่นๆ ด้วยคือ
๑) เหตุผลด้านสังคม ๒) ด้านชีววิทยา และ
๓) เหตุผลด้านศาสนา
จากผลการวิจัยพบว่า เหตุผลที่ทั้งสองฝ่ายโต้แย้งกันอยู่นั้นเคร่งครัดเกินไป
พุทธจริยศาสตร์จึงเสนอหลักทางสายกลางในการบริโภคอาหาร
โดยพิจารณาถึงความจำเป็นในการมีชีวิตอยู่เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดเป็นสำคัญเพราะหากทรงมีพุทธบัญญัติเกี่ยวกับ
“การบริโภคมังสวิรัติ” เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว พระพุทธศาสนาอาจทนต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคตไม่ได้
พุทธจริยศาสตร์จึงถือปฏิบัติตามหลักศรัทธา ที่มีหลักเช่นนี้ก็เพราะมองว่า
“การบริโภคอาหารที่ถูกต้อง”
คือการบริโภคเพื่อเป้าหมายที่จะให้มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองจนดำเนินตามมรรคมีองค์แปดไปได้นั่นเอง
คำสำคัญ:
พุทธจริยศาสตร์, อาหารมังสวิรัติ,
Abstract
This article aims to propose how
consumption of vegetarian food is appropriate in the view of Buddhist ethics
due to two contrasting rationales: one stated by meat-consuming groups that consumption of animals is a form of
population control that can maintain ecological balance, and a counterview by
vegetarians that humans do not own others’ lives. Actually other reasons should be put into consideration such
as 1) Social reasons 2) Biological
reasons and 3) Religious reasons.
Result of this study reveals that both
sides are too strict on their rationale. Buddhist ethics
therefore propose a middle path in food consumption, with consideration of the
need to live to achieve the ultimate goal. Had the term “vegetarian diet” been strictly defined in
the regulation, Buddhism might have been unable to adapt to the future world. Buddhist ethics therefore take a moderate approach as it views
that “The right consumption” is a
kind of consumption that allows human development and the practice of The Noble
Eightfold Path.
Keyword: Buddhist ethics, vegetarian food
๑.
ปัญหาข้อถกเถียงเรื่องอาหารมังสวิรัติ
ประเด็นที่เป็นการถกเถียงกันบ่อยครั้งระหว่างนักมังสวิรัติกับกลุ่มนิยมบริโภคเนื้อสัตว์
ประเด็นแรกคือเรื่อง คนเป็นสัตว์กินพืชหรือกินเนื้อ
โดยมักจะเอาหลักฐานมาตอบโต้กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของฟัน
ลำไส้และระบบการย่อย
ในความเป็นจริงแล้วคนกินได้ทั้งพืชและเนื้อสัตว์
เราสามารถย่อยและได้พลังงานจากแหล่งพลังงานทั้งสอง ดังจะเห็นได้ว่าทั้งพืชและเนื้อสัตว์มันกินได้เหมือนกันแต่ผลออกมาไม่เหมือนกัน
ประเด็นต่อมาคือ
แง่มุมทางด้านนิเวศวิทยาว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นการช่วยปรับความสมดุลเชิงนิเวศวิทยาหากสัตว์ไม่ถูกฆ่ากินโดยมนุษย์จำนวนสัตว์ก็จะมีมากจนเกินไป
ดังนั้นการกินเนื้อสัตว์ในแง่หนึ่งเป็นการช่วยปรับความสมดุลเชิงนิเวศวิทยาให้แก่โลก
เช่นเดียวกับการที่สัตว์กินกันเอง หรือสัตว์กินพืช หรือพืชกินสัตว์
ที่เป็นไปตามกระบวนการทางธรรมชาติ
และธรรมชาติก็มีระบบคัดเลือกความเหมาะสมในตัวมันเอง
นักชีววิทยาจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า การที่มนุษย์เป็นอย่างไร(เช่นต้องกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร)
ไม่ได้เป็นอิสระจากการควบคุมโดยธรรมชาติ
หมายความว่าธรรมชาตินั้นมีอำนาจมากกว่ามนุษย์
การที่เราถูกสร้างมาให้กินเนื้อสัตว์ก็เพราะธรรมชาติเห็นว่าจะช่วยให้เกิดสมดุลในเชิงนิเวศวิทยานั่นเอง
พิจารณาจากแง่นี้
การบริโภคเนื้อสัตว์ในระดับสังคมก็มีเหตุผลและมีบทบาทบางอย่างที่เราสามารถเข้าใจได้[๓]
อย่างไรก็ตามเหตุผลที่ถูกหยิบขึ้นมาสนับสนุนการกินอาหารมังสวิรัติก็สามารถเข้าใจได้เช่นกัน
กลุ่มผู้บริโภคให้เหตุผลทางด้านจริยศาสตร์ว่า ต้องการตัดวงจรทารุณกรรมสัตว์ในกระบวนการผลิต
เหตุผลที่น่าสนใจคือ การบริโภคเนื้อสัตว์ในยุคปัจจุบันมักจะมีอะไรมากไปกว่ามิติในเชิงนิเวศวิทยาที่กล่าวมาแล้วนั้น
เพราะมีสัตว์อีกประเภทหนึ่งที่มนุษย์เป็นผู้เพาะเลี้ยงและควบคุมปริมาณได้เวลานี้การบริโภคเนื้อสัตว์ได้หันมาทางนี้มากขึ้น
ในแง่เศรษฐศาสตร์ การมีอาชีพจับสัตว์ตามธรรมชาติเพื่อขายนั้นไม่แน่นอนเท่ากับการเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่าขายเอง
ด้วยเหตุนี้แนวโน้มการบริโภคเนื้อสัตว์ของมนุษย์จึงเอียงไปในทางที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยงเองมากขึ้นตามลำดับ
เมื่อสัตว์ที่มนุษย์กินส่วนใหม่มาจากสัตว์ที่มนุษย์เลี้ยง
เหตุผลด้านนิเวศวิทยาก็ไม่อาจใช้สนับสนุนการกินเนื้อสัตว์ได้[๔]
เหตุผลข้อต่อมาคือเรื่องสุขภาพของผู้บริโภค
กลุ่มผู้นิยมบริโภคเนื้อสัตว์มักอ้างเหตุผลว่า
มนุษย์ต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี โดยอ้างผลการวิจัยว่า
มนุษย์ต้องอาศัยโปรตีนจากเนื้อสัตว์เป็นส่วนสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ และเด็กๆ
ก็ต้องการเนื้อสัตว์เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ หากรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณที่เหมาะสมจะไม่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ
และเนื้อสัตว์ยังเป็นแหล่งวิตามิน บี ๑๒ ที่ดีที่สุด และมีไขมันอิ่มตัวที่ดี
กลุ่มนิยมบริโภคมังสวิรัติ
ให้ความเห็นแย้งว่า การรับประทานอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ (รับประทานผัก ผลไม้
และผลผลิตจากสัตว์ เช่น นม หรือไข่) รวมทั้งวีแกน
(ไม่รับประทานอาหารหรือวัตถุดิบใดๆ ที่ผลิตจากสัตว์) จะช่วยลดความเสี่ยงทั้งโรคมะเร็ง
และโรคหัวใจ ส่วนหมู่คนที่มักกินเนื้อเป็นหลัก กินเนื้อเป็นส่วนมาก มักจะมีโรคมากและอายุสั้น
เช่นชาวเอสกิโม มีโอกาสที่จะตายตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๓๐ ด้วยเหตุแห่งโรคเช่น
มะเร็ง ในทางกลับกันชาวฮันซา[๕]ได้ชื่อว่าอายุยืนนั้น
มักจะไม่กินเนื้อสัตว์ กินพืชเป็นหลัก มีผลทำให้อายุเฉลี่ยประมาณ ๑๒๐ ปี
และไม่มีอาการป่วยจากโรคยอดฮิตเช่น มะเร็ง เบาหวาน ฯลฯ ชาวฮันซาที่อายุ ๙๐
ยังแข็งแรงและสามารถเต้นได้ ในจูฬกัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “การที่บุคคลเป็นผู้ฆ่าสัตว์
เป็นคนหยาบช้า มีมือเปื้อนเลือด ฝักใฝ่ในการประหัตประหาร
ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย นี้เป็นปฏิปทา(ข้อปฏิบัติ)ที่เป็นไปเพื่อความมีอายุสั้น”[๖]
เหตุผลอีกข้อหนึ่ง เรื่อง
ศาสนา ผู้บริโภคมังสวิรัติชาวอินเดียโบราณบางกลุ่มมีความเชื่อว่า
“ความบริสุทธิ์มีได้ด้วยอาหาร” ชาวอินเดียในหมู่ผู้ปฏิบัติโยคะ และผู้นับถือศาสนาฮินดูส่วนหนึ่ง
ผู้กินเจและมังสวิรัติมักเป็นผู้ถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว มีเมตตาจิตอยู่เป็นทุนเดิม
ผู้กินมังสวิรัติที่มาจากอินเดียยังเสนอว่า
ที่แท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าก็กินมังสวิรัติเช่นเดียวกัน เพราะ
ประเพณีชาวเนปาลบริเวณที่เป็นถิ่นฐานศากยวงศ์เขาไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้วเป็นปกติ อย่างไรก็ดีในพุทธบัญญัติมิได้กำหนดการกินมังสวิรัติ
ก็อาจด้วยเหตุที่ไม่ต้องการให้ตึงเกินไปนักสำหรับกุลบุตรของ ชาวพุทธที่จะเข้ามาบวช
ต่อเมื่อศรัทธาแล้วจึงค่อยปฏิบัติเอง[๗]
นอกจากนี้ชาวมังสวิรัติยังมีความเชื่อว่า
การบริโภคอาหารมังสวิรัติให้คุณค่าทางด้านจิตใจ ได้แก่ ทำให้จิตใจสงบ เยือกเย็น
สุขุม บังเกิดเมตตาจิตอย่างเต็ม เปี่ยม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่โกรธง่าย
ไม่มุ่งร้ายอาฆาตพยาบาท มีสติมั่นคงไม่หวั่นไหวในเหตุการณ์ ต่างๆ
มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงต่างสรรเสริญยินดี อวยพรให้ไม่มีช่องทางที่
วิญญาณต่างๆ ทุกประเภทเข้าแอบแฝงหรือทำอันตรายใดๆ ได้[๘]
สรุปว่า
ข้อถกเถียงเรื่องการบริโภคอาหารมังสวิรัติด้วยเหตุผลทางสังคม , ชีววิทยา,และศาสนา
ทั้งสามประเด็นล้วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางในการโต้แย้ง ฝ่ายที่อ้างเหตุผลด้านนิเวศวิทยาว่า
มนุษย์ถูกกำหนดโดยธรรมชาติให้กินสัตว์เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศโลกเอาไว้
หรือเหตุผลด้านสุขภาพที่มนุษย์ยกขึ้นมาอ้างว่า
สัตว์เป็นแหล่งโปรตีนและวิตามินที่สำคัญสำหรับใช้ในการเจริญเติบโตของมนุษย์
ทั้งสองเหตุผลนี้ล้วนเป็นแนวคิดแบบยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง
เหตุผลทางด้านศาสนาเข้ามาอธิบายให้เห็นว่า
“การกินมังสวิรัติมิได้เป็นทางออกของปัญหา” แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวมนุษย์ที่มีความโลภ
โกรธ หลง ดังคำกล่าวของมหาตมะ คานธี ที่กล่าวไว้ว่า “ธรรมชาตินั้นเพียงพอที่จะเลี้ยงดูทุกชีวิต
แต่ไม่มีสิ่งใดเพียงพอที่จะสนองความละโมบของคนแม้เพียงคนเดียวได้”[๙]
พุทธจริยศาสตร์มีมุมมองและหาทางออกสำหรับการบริโภคอาหารมังสวิรัติอย่างไรจะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป
๒. พุทธจริยศาสตร์กับการบริโภคอาหารมังสวิรัติ
ในหัวข้อนี้ ผู้วิจัยต้องการเสนอมุมมองเกี่ยวกับ "การบริโภคอาหารมังสวิรัติ"
ของพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ใช่แง่มุม ทางสุขภาพอนามัย ไม่ใช่ทางโภชนาการ
ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ เป็นความคิดเห็น ที่อาศัยคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเป็นหลักฐานอ้างอิง
ในพระไตรปิฎกมีอยู่มากมายหลายพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้
แล้วมีส่วนเกี่ยวพันกันไปถึง "มังสวิรัติ" คือ งดเว้นการกินอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆจากสัตว์ได้มาจากการฆ่าสัตว์เพื่อทำเป็นอาหารในที่นี้จะขอยกมากล่าวถึงเพียงบางพระสูตรเท่านั้น
เช่น “ละการฆ่า เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ (โทษภัย) วางศาสตรา (ของมีคม)แล้ว
มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์ แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
ตลอดคืนหนึ่งกับวันหนึ่งในวันนี้แม้ด้วยการกระทำอย่างนี้
ก็ชื่อว่าได้ทำตามพระอรหันต์ทั้งหลาย" [๑๐]
จากพระสูตรนี้ก็คือ
ศีลข้อที่ ๑ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์นั่นเอง พระพุทธเจ้าทรงห้ามการฆ่าสัตว์เอาไว้
แก่พุทธศาสนิกชนทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะ อาชีพใดๆ คือ เป็นข้าราชการ พ่อค้า
ลูกจ้าง กรรมกร ทั้งหญิง ชาย ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ เมื่อเป็นชาวพุทธ
ก็ต้องพยายามถือศีลข้อที่ ๑ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ มีใจเมตตา แก่สัตว์ทั้งปวง
ถ้าปฏิบัติกันจริงเมืองไทยย่อมจะหาเนื้อสัตว์กินกันได้ยาก ภายในเมืองพระพุทธศาสนาแห่งนี้
อาหาร การกินส่วนใหญ่ ก็คงต้องเป็น "อาหารมังสวิรัติ"
มากกว่าการที่ชาวพุทธชักชวนกันเลิกกินเนื้อสัตว์ได้
ก็จะเป็นการเอื้อเฟื้อต่อศีลข้อที่ ๑ ที่พระพุทธเจ้า ทรงบัญญัติเอาไว้ ยิ่งมีคนกินเนื้อสัตว์กันมากเท่าใด
ก็ย่อมต้องมีการฆ่าสัตว์เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น อันเป็น การส่งเสริม ให้ชาวพุทธกระทำผิดศีลข้อที่
๑ เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
นอกจากทรงห้ามการฆ่าสัตว์แล้ว
พระพุทธเจ้าก็ยังทรงห้ามไปถึง การค้าขายสัตว์ทั้งที่มีชีวิตอยู่ หรือ ทั้งที่ตาย
กลายเป็นเนื้อสัตว์ด้วย ดังข้อความที่ตรงตรัสว่า “การค้าขาย ๕ ประการนี้
อันอุบาสกไม่พึงกระทำคือ ๑.การค้าขายศาสตรา ๒.การค้าขายสัตว์(เป็น)
๓.การค้าขายเนื้อสัตว์(ตาย) ๔.การค้าขายน้ำเมา ๕.การค้าขายยาพิษ”[๑๑] การค้าขายเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้เช่นกัน
ยิ่งเห็นได้ชัดเจนถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ ในด้านอาหารการกินของชาวพุทธได้ว่าจะทำเป็น
"อาหารมังสวิรัติ" ค้าขายกันเกลื่อนกล่นทั่วไปอย่างแน่นอน
ถ้าพุทธศาสนิกชน ปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า อย่างถูกตรงแล้ว
นอกจากนี้มีตัวอย่างว่า
พระองค์ไม่ใช่แค่เพียงห้ามชาวพุทธไม่ให้ฆ่าสัตว์ และห้ามค้าขายเนื้อสัตว์เท่านั้น
พระพุทธเจ้ายังทรงติเตียนห้ามปราม แม้กระทั่งการใช้ความตายของสัตว์อื่น
มาเป็นเครื่องสักการบูชาอีกด้วยดังพระพุทธดำรัสว่า "สัตว์ทั้งหลายที่ไม่ได้ประทุษร้ายใคร
ถูกนำมาฆ่า คนผู้ทำการบูชาด้วยความตายของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเสื่อมจากธรรม
วิญญูชนติเตียนแล้วอย่างนี้ วิญญูชนเห็นความจริง อันเลวทรามเช่นนี้ ในที่ใด
ย่อมติเตียนคนผู้ทำการบูชาด้วยความตายของสัตว์ในที่นั้น"[๑๒] ดังนั้นการที่จะนำเอาเลือด
เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้พุง หรืออวัยวะอื่นใดของสัตว์ มาเป็นเครื่องบูชา
ต่อสิ่งที่ เราเคารพนับถือ หรือต่อบุคคลที่เราเคารพนับถือนั้น
จึงเป็นการทำบาปมาหวังบุญ ช่างน่าติเตียน ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้
การกราบไหว้บูชาใดๆของชาวพุทธ หรือแม้การตักบาตรพระ ก็ควรเป็นอาหารที่ไม่ต้องเกิดบาปกรรม
จากการฆ่าสัตว์ให้ถึงแก่ความตายเลย คือเป็น"อาหารมังสวิรัติ"
จะประเสริฐกว่า
แม้แต่การที่ทรงห้ามฆ่าสัตว์เพื่อนำมาทำบุญกับพระองค์อย่างนี้ก็ทรงตรัสห้ามไว้ว่า
"ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม
พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังทรงฉัน เนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำดังนี้ ชนเหล่านั้นจะชื่อว่า
กล่าวตรงกับที่เรากล่าวก็หามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง เรากล่าวเนื้อสัตว์ว่า
เป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ
๑.
เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้เห็น(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
๒.
เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้ยิน(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
๓.
เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้รังเกียจ(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
และเรากล่าวเนื้อสัตว์ว่า
ไม่ควรเป็นของบริโภค ด้วยเหตุ ๓ ประการคือ
๑.
เนื้อสัตว์ที่ตนเห็น(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
๒.
เนื้อสัตว์ที่ตนได้ยิน(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
๓.
เนื้อสัตว์ที่ตนรังเกียจ(ว่าเจาะจงฆ่ามา)[๑๓]
ดังนั้นพุทธจริยศาสตร์จึงเสนอว่า
หากเป็น"อาหารมังสวิรัติ"แล้ว ก็คงหมดห่วงในปัญหาเหล่านี้ไปได้ทั้งหมด
เพราะพระท่านสามารถ จะพิจารณา อาหารได้ง่าย และ ฉันได้อย่างสบายใจไม่ตกเป็นบาปกรรมแทนที่จะได้บุญ
ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสบบาป
มิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ ๕ ประการคือ
๑.
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา พูดดังนี้ชื่อว่า
ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก
๒.
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้รับทุกข์เสียใจ ทำดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป
มิใช่บุญเป็นอันมาก
๓.
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ พูดดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป
มิใช่บุญเป็นอันมาก
๔.
สัตว์นั้นเมื่อกำลังถูกเขาฆ่า ย่อมได้รับทุกข์เสียใจ ดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป
มิใช่บุญเป็นอันมาก
๕.
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคตให้ยินดีด้วยเนื้อสัตว์อันเป็นอกัปปิยะ
(ของต้องห้าม ไม่สมควร แก่ภิกษุ จะบริโภค) ทำดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป
มิใช่บุญเป็นอันมาก[๑๔]
ชาวบ้านที่ทำอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระ
หรือใส่บาตรพระ เพื่อหวังบุญกุศลนั้น จะรู้หรือไม่ว่า การที่สัตว์ ต้องถูกฆ่า
เพื่อทำเป็นอาหารนั้น ก็เป็นบาปกรรมแล้ว แต่จะบาปหนักขึ้นมิใช่บุญเลย เมื่อเจาะจง
นำเนื้อสัตว์นั้น ไปถวายพระ ดังนั้นผู้ปรารถนาบุญอย่างแท้จริง
ไม่น่าเสี่ยงต่อการที่จะทำบุญแล้วได้บาปแทน สมควรทำเป็น
"อาหารมังสวิรัติ" ดีกว่า จะได้บุญสมใจ ทั้งยังเป็นการปฏิบัติถูกต้อง
ไม่ประมาท ต่อคำเตือน ของพระพุทธเจ้า อีกด้วย
ในพระสูตรนี้มีข้อน่าสังเกต
ที่ชาวบ้านอาจคาดไม่ถึงก็คือ การฆ่าสัตว์ทำเป็นอาหาร
แล้วเจาะจงนำอาหารเนื้อสัตว์นั้นไปถวายพระจะได้รับบาปกรรมแทนบุญนั้น
เหตุหนึ่งก็เพราะทำให้พระเกิดความยินดี ในการฉัน เนื้อสัตว์ อันเป็นของต้องห้าม ที่พระไม่ควรฉัน
แต่ก็ทรงมีข้อยกเว้นว่าหากชาวบ้านได้เนื้อเดนสัตว์
หรือเนื้อบังสุกุล(เนื้อทิ้งแล้ว)มา ย่อมสามารถนำมาทำเป็นอาหารถวายพระ
ได้โดยปลอดภัยไร้โทษบาปเวรใดๆ มิหนำซ้ำยังเป็นบุญกุศลอีกด้วย
"ดูก่อนภิกษุ
ภิกษุฉันเนื้อเดน(ของเหลือทิ้ง)จากราชสีห์ เนื้อเดนจากเสือโคร่ง
เนื้อเดนจากเสือเหลือง เนื้อเดน จากเสือดาว เนื้อเดนจากสุนัขป่า
ภิกษุนั้นไม่เป็นอาบัติ (ไม่เป็นโทษผิด)[๑๕] โอกาสที่พระจะฉันเนื้อสัตว์ได้
ก็ยังมีอยู่อีกประการคือ เนื้อสัตว์ที่เป็นของเหลือทิ้งแล้ว จากการถูกฆ่าตาย
ด้วยสัตว์ ดิรัจฉานอื่นๆ
พระพุทธเจ้าอนุโลมให้พระฉันเนื้อได้บ้างเท่านั้น
ด้วยเหตุบางประการดังกล่าวมาแล้ว แต่แม้ในบทอนุโลมนั้นก็ไม่ทรงอนุญาตให้พระฉันเนื้อ
๑๐ ชนิดเหล่านี้เลย หากพระรูปใดฉันก็ต้องมีความผิดนั่นก็คือ
ชีวิตปกติจะต้องงดเว้นเนื้อ(มังสวิรัติ) ๑๐ ชนิดเหล่านี้อย่างเด็ดขาด
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุไม่พึงฉันเนื้อมนุษย์ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัข เนื้องู เนื้อราชสีห์
เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือเหลือง เนื้อหมี เนื้อเสือดาว อนึ่ง
ภิกษุยังไม่ได้พิจารณา ไม่พึงฉันเนื้อ หากภิกษุรูปใดฉันเนื้อนั้น ต้องอาบัติ
(ต้องโทษผิด) ทุกกฎ”[๑๖]
จุดที่น่าให้ความสนใจ
ในพระสูตรนี้ก็คือ ทุกครั้งที่พระจะฉันอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซึ่งญาติโยมนำมาถวาย
จะต้องพิจารณาเนื้อนั้น ให้ชัดเจน ก่อนขบฉันทุกครั้งไปว่า เนื้อนั้นห้ามฉันหรือไม่
อันเป็นความยุ่งยาก แก่พระ ไม่น้อยทีเดียว ฉะนั้นพุทธจริยศาสตร์จึงแนะนำให้ทำอาหารประเภท
ไม่มีเนื้อสัตว์ ใส่บาตร หรือถวายพระจะดีกว่า
โดยสรุปเท่าที่ยกตัวอย่างมานี้พอจะเห็นได้ว่า
พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีการต่างๆ นำมาห้ามกั้นไม่ให้ชาวพุทธได้กินเนื้อสัตว์
ทั้งยังทรงตำหนิการฆ่าสัตว์ อันเป็นที่มาของอาหารเนื้อสัตว์ว่าเป็นเรื่องบาปกรรมแท้ๆ
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะทรงบังคับให้ชาวพุทธทุกคนเป็นมังสวิรัติ
แต่ทรงเสนอ หลักทางสายกลาง ในการบริโภคอาหารให้ชาวพุทธนำไปปฏิบัติ
โดยให้พิจารณาก่อนบริโภคอาหาร หากเข้าข่ายที่ทรงห้ามก็ควรงดเว้น
แต่หากมีความจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตก็ทรงอนุโลม เป็นต้น ส่วนผู้ที่ยังมีความสงสัยว่า
พระพุทธเจ้าทรงฉันอาหารชื่อ"สุกรมัทวะ" แล้วก็ถึงแก่ปรินิพพานไปนั้นยังมีความคิดเห็นไม่ตรงกันของชาวพุทธหลายฝ่ายว่า
อาหารสุกรมัทวะนั้น คือ "เนื้อสุกรอ่อน" หรือ "อาหารที่ปรุงด้วยเห็ด
ชนิดที่หมูชอบกิน"[๑๗]
๓.
มุมมองของผู้วิจัย
ในข้อที่ผ่านมาเราได้ทราบถึงมุมมองของพุทธจริยศาสตร์ที่มีต่อการบริโภคอาหารมังสวิรัติพอสังเขปแล้ว
ผู้วิจัยจึงขอนำเสนอมุมมองส่วนหนึ่งของผู้วิจัยเกี่ยวกับการบริโภคอาหารมังสวิรัติเช่นกันเมื่อไม่นานมานี้
ศาสตราจารย์ ดร. ปีเตอร์ ซิงเกอร์ ศาสตราจารย์ด้านชีวจริยศาสตร์ ชาวออสเตรเลีย
ได้แสดงทรรศนะต่อคำถามของผู้วิจัยถึงมุมมองที่มีต่อชาวพุทธในประเทศไทยเกี่ยวกับสิทธิสัตว์
ว่า “ฉันไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาในการตอบคำถามสองข้อแรกของคุณ
แต่ฉันสามารถบอกได้ว่าฉันรู้สึกผิดหวังมากที่พบว่าแม้ว่าไทยจะถือว่าเป็นประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ
แต่คนไทยส่วนน้อยก็เป็นมังสวิรัติ
ซึ่งดูเหมือนว่าจะขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา (เว้นเสียแต่ว่าเขาจะเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ต้องกินอะไรก็ตามที่ใส่ไว้ในชามของคุณ
แต่แม้กระทั่งข้ออ้างในการกินเนื้อสัตว์ก็อ่อนมากในปัจจุบัน) ดังนั้นคำตอบของฉันสำหรับคำถามที่สามของคุณก็คือชาวพุทธควรให้ความสำคัญว่าชาวพุทธที่แท้จริงจะไม่กินเนื้อสัตว์จนกว่าจะไม่มีอาหารอื่นที่พร้อมรับประทาน”[๑๘]
จากทรรศนะของปีเตอร์
ซิงเกอร์ ผู้วิจัยเห็นว่า แม้ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเริ่มหันมาบริโภคอาหารมังสวิรัติกันมากขึ้น
แต่เมื่อเทียบกับอัตราพุทธศาสนิกชนทั้งประเทศแล้วยังมีจำนวนน้อยอยู่
การบริโภคอาหารมังสวิรัตินั้นมีคุณประโยชน์ มากมายหลายด้านดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้อก่อนหน้านี้
เป็นความเชื่อและความศรัทธาของมนุษย์แต่ละคนว่าควรจะต้องปฏิบัติในการดำรงชีวิตการอยู่กิน
แต่ทั้งนี้ผู้วิจัยก็ไม่ได้หมายความว่า ชาวพุทธจะต้องเชื่อและศรัทธาเหมือนกันหมด
จะเชื่ออะไรเชื่ออย่างไรและปฏิบัติอย่างไรขึ้นอยู่กับ วิจารณญาณของบุคคลแต่ละคน
ที่สำคัญคือความเชื่อ ความศรัทธาและปฏิบัติต่างๆ จะต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น
หากถือเอาคำสอนของพระพุทธศาสนา
ก็ควรที่จะพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เน้นหลักทางสายกลางในการปฏิบัติ
เพราะพุทธศาสนาแบบในแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั้น
ทรงเน้นให้ชาวพุทธมีเมตตาต่อสัตว์และงดเว้นการฆ่าสัตว์หรือบริโภคเนื้อสัตว์
แม้จะไม่ทรงตรัสเป็นพุทธบัญญัติก็ตาม
แต่ก็ทรงยึดหลักทางสายกลางคือไม่ตึงไม่หย่อนจนเกินไป และทรงเห็นว่า
หากทรงมีพุทธบัญญัติเกี่ยวกับ “การบริโภคมังสวิรัติ” เอาไว้แล้ว
พระพุทธศาสนาอาจทนต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะมีในอนาคตไม่ได้
จึงทรงให้ถือปฏิบัติตามกำลังศรัทธา
ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพราะทรงพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า “การบริโภคอาหารที่ถูกต้อง” คือการบริโภคเพื่อเป้าหมายที่จะให้มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองจนดำเนินตามมรรคมีองค์แปดไปได้
หมายถึงคน ๆ หนึ่งในการดำรงชีวิตควรจะระมัดระวังไม่ควรประมาท เพราะถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานให้กับสิ่งมีชีวิตอื่น
ๆ ดังนั้น "การทำมาหากินที่ผิด" อย่างเช่น การค้าใน อาวุธ
(เป็นพนักงานขายแขน) สิ่งมีชีวิต (เช่นการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์)เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาพิษ
จึงเป็นสิ่งต้องห้ามในพุทธจริยศาสตร์
๔. บทสรุป
แม้ในยุคปัจจุบันบรรดานักวิทยาศาสตร์ได้ลงความเห็น
สอดคล้องกันว่า บรรพบุรุษในยุคแรกๆ ของมนุษย์เป็นพวกกินผลไม้ ถั่วเปลือกแข็ง
และผัก เนื่องจากโครงสร้างของร่างกายมนุษย์ทั้งกล้ามเนื้อ ฟัน ต่อมน้ำลาย
กรดในกระเพาะ ต่อมไร้ ท่อ เล็บมือและเท้า จัดอยู่ในพวกสัตว์กินพืช (Herbivora) ไม่ใช่สัตว์กินสัตว์ (Canivora) หรือสัตว์กิน ทั้งพืชและสัตว์ (Omnivora) จนกระทั่งยุคน้ำแข็งซึ่งเป็นช่วงวิกฤตการณ์ของโลกที่มนุษย์ไม่สามารถ
จะหาอาหารชนิดอื่นมากินได้ จึงจำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อความอยู่รอดและมนุษย์ก็ดำเนินชีวิตแบบนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ยินดีรับประทานอาหารธรรมชาติ
ที่ปราศจากเนื้อสัตว์มาจนถึงปัจจุบัน[๑๙] ตัวอย่าง บุคคลสำคัญของโลกที่รับประทานอาหารมังสวิรัติและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป
เช่น พระพุทธเจ้า,อัลเบิร์ด ไอสไตล์, ตอลสตลอย, แฟรงคลิน เซอร์ไอแซค นิวตัน และมหาตมะ
คานธี ฯลฯ[๒๐]
บุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านี้มีเหตุผลที่สำคัญคล้ายๆ
กันคือ สัตว์ทุกชีวิตรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกันกับมนุษย์ การบริโภคอาหารจะต้องไม่ทำร้ายมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น
ๆ เพื่อให้มันถูกใช้เพื่อนำความสุขให้กับตัวเรา, ครอบครัวและทุกคนที่เกี่ยวข้องที่ร่วมใช้มัน
“การใช้” คือเพื่อประโยชน์ในการใช้ ไม่ใช่เพื่อสนองความอยากอย่างเดียว
ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่า
เราควรมีการดำเนินงานสนับสนุนการบริโภคอาหารมังสวิรัติอย่างจริงใจและเต็มความสามารถ
เพราะการบริโภคอาหารโดยไม่สนใจบริบทโลกปัจจุบันมิใช่แนวทางของพุทธจริยศาสตร์ การช่วยกระตุ้นให้ชาวพุทธตระหนักถึงการบริโภคอาหารโดยความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตอื่นให้มากขึ้นเป็นเรื่องที่สำคัญ
เพราะถึงแม้ว่าพุทธจริยศาสตร์จะยอมให้บริโภคเนื้อสัตว์ได้โดยมีเงื่อนไขก็ตาม แต่ก็ไม่สนับสนุนการฆ่าสัตว์อื่นเพื่อเป็นอาหาร
การที่พุทธจริยศาสตร์ห้ามการบริโภคเนื้อสัตว์บางชนิดและห้ามการค้าขายเนื้อสัตว์ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นการสนับสนุนการบริโภคอาหารมังสวิรัติแทนการบริโภคเนื้อสัตว์อย่างชัดเจนอยู่แล้ว
บรรณานุกรม
๑.
ภาษาไทย
ก .ข้อมูลปฐมภูมิ
พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.พระไตรปิฏกภาษาไทย,
กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๓๙.
ข. ข้อมูลทุติยภูมิ
๑.
หนังสือ
เกียรติวรรณ
อมาตยกุล, อาหารสู่ชีวิตใหม่, กรุงเทพมหานคร:
ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์, ๒๕๓๔.
คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,พระพุทธศาสนากับนิเวศวิทยา,
พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๙.
คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,พุทธจริยศาสตร์กับปัญหาสังคมร่วมสมัย,
พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๕๕.
สมภาร
พรมทา.มนุษย์ สังคม และปัญหาจริยธรรม.พิมพ์ครั้งที่
๒.กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์ศยาม.๒๕๔๘.
. กิน : มุมมองของพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร :
โครงการเผยแพร่
ผลงานทางวิชาการคณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, พ.ศ ๒๕๔๗.
๒. วิทยานิพนธ์
วันชัย บุญรอด, “การเปรียบเทียบผลการออกกำลังกายแบบอากาศนิยมระหว่างผู้รับประทาน
อาหาร
มังสวิรัติและผู้รับประทานอาหารทั่วไป”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,
บัณฑิตวิทยาลัย: มหาจฬุาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๓๐.
พระอภิชาติ ปภสฺสโร (ทองดอนเหมือน), “วิเคราะห์แนวคิดการบริโภคมังสวิรัติตามทฤษฎีประโยชน์
นิยม”วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาจฬุาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๕๙.
๒. ภาษาอังกฤษ
Artfield,
Robin. (1993). The Ethics of
Environmental Concern. New York: Columbia
University Press.
Huxley, Andrew. “ The
Kurudhamma: From Ethics to Stateccraft” ,Journal
of
Buddhist Ethics2 (1995),
[๑] บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “พุทธจริยศาสตร์ที่ประยุกต์ใช้กับมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น”
หลักสูตรพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๖๑
[๒]
นิสิตปริญญาเอก สาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย
จ.พระนครศรีอยุธยา
[๓] สมภาร
พรมทา, กิน : มุมมองของพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. (กรุงเทพมหานคร:
โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
พ.ศ ๒๕๔๗),หน้า ๑๒๔.
[๕] ชาวฮันซา(Hunza)อาศัยอยู่เชิงเขาหิมาลัยตอนเหนือของประเทศปากีสถาน
มีอายุขัยเฉลี่ย ๑๒๐ปี และมีจำนวนมากที่อายุเกิน ๑๓๐ ปีและ ๑๔๐ ปี
โดยมีร่างกายแข็งแรง เดินได้ ทำงานได้ ชาวฮันซาไม่บริโภคเนื้อสัตว์
แต่มีโอกาสบริโภคเนื้อแพะเพียงปีละ ๑-๒ ครั้งเท่านั้นซึ่งจะมีในงานประเพณีประจำปี
ชาวฮันซาบริโภคพืชผักวันละ ๑ กิโลกรัม ส่วนใหญ่เป็นของสด ชาวฮันซาไม่มีไฟฟ้า
ไม่มีเตาแก๊สแม้แต่น้ำมันก๊าดและเทียนไขก็เป็นของต้องห้ามในดินแดนฮันซา
การหุงหาอาหารจะทำเท่าที่จำเป็นเพราะเชื้อเพลิงคือไม้ฟืนเป็นของหายาก.
อ้างใน.ออนไลน์,วิธีธรรมชาติของชาวฮันซา, http://www.chlorophyll.tht.in/hunza.html.สืบค้นเมื่อ
6/2/2561.
[๖] ม. อุ.
(ไทย) ๑๔/๒๙๐/๓๕๐.
[๗] พระอภิชาติ ปภสฺสโร
(ทองดอนเหมือน),
“วิเคราะห์แนวคิดการบริโภคมังสวิรัติตามทฤษฎีประโยชน์
นิยม”วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจฬุาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๙).
หน้า ๗๙.
[๘] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗๘.
[๙] รสนา โตสิตระกูล, ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว:
ทางออกของเกษตรกรรมและอารยธรรม.(กรุงเทพมหานคร : โกมลคีมทอง. ๒๕๓๐). หน้า ๔.
[๑๐] องฺ. ติกฺ (ไทย)๒๐/๗๑/๒๘๖.
[๑๑] องฺ. ปญฺจ (ไทย)๒๒/๑๗๗/๒๙๕
[๑๒] ขุ. สุ.(ไทย)
๒๕ /๓๑๕-๓๑๖/๕๗๒.
[๑๓] ม. ม. (ไทย)๑๓/๕๒/๔๙.
[๑๔] ม. ม. (ไทย) ๑๓/๕๕/๕๒.
[๑๕] วิ. มหา. (ไทย) ๑/๑๔๐/๑๐๗ - ๑๐๘.
[๑๖] วิ. มหา. (ไทย) ๕/๑๖๘-๑๖๙/๘๐-๘๗.
[๑๗] ที. ม. (ไทย)๑๐/๑๘๙/๑๓๘,
สูกรมัททวะ
ความหมายตามมติของเกจิอาจารย์ ๓ พวก คือ ๑). หมายถึง ปวัตตมังสะ เนื้อสุกรหนุ่ม ๒).
หมายถึง ข้าวสุกอ่อน ที่ปรุงด้วยนมสด นมส้ม เนยใส เปรียง เนยแข็ง และถั่ว ๓).
หมายถึงวิธีปรุงอาหารชนิดหนึ่ง (ที.ม.อ. ๑๘๙/๑๗๒, ขุ.อุ.อ. ๗๕ /๔๒๗.)
[๑๘] ต้นฉบับภาษาอังกฤษ , From : Peter
Singer, Dear
Rev Phra Adirek,
I am not sufficiently knowledgeable about
Buddhism to answer your first two questions, but I can say that I was very
disappointed to find that although Thailand considers itself a Buddhist
country, very few Thais are vegetarians
. That seems to be to be quite contrary
to the spirit of Buddhist teaching
(unless, arguably, one
is a monk who must eat whatever is put in your bowl
- but
even that excuse for eating meat seems very thin nowadays
).
So my answer to your third question
is that Buddhist people should emphasize that a true Buddhist would not eat
meat unless there was no other food available to eat,. best
wishes.
Peter
Singer,
AC. 13/12/60.
[๑๙]
เกียรติวรรณ อมาตยกุล, อาหารสู่ชีวิตใหม่, (กรุงเทพมหานคร:
ห้างหุ้นส่วนจำกัดภาพพิมพ์, ๒๕๓๔), หน้า
๕๘.
[๒๐]
วันชัย บุญรอด, “การเปรียบเทียบผลการออกกำลังกายแบบอากาศนิยมระหว่างผู้รับประทาน
อาหารมังสวิรัติและผู้รับประทานอาหารทั่วไป”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต,
(บัณฑิตวิทยาลัย: มหาจฬุาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๓๐).